วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ชวนมาสละปัจจัยเพื่อบูรณะวัดไทรย์ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี

ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มาร่วมกันบริจาคปัจจัย
เพื่อเป็นทุนในการบูรณะซ่อมแซม วัดไทรย์ ณ.อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี
ให้กลับมาอยู่ในสภาพที่จะใช้ประกอบศาสนกิจของสงฆ์และฆราวาสได้ตามความเหมาะสม
และเพื่อส่งเสริมศาสนาพุทธให้อยู่คู่บ้าน คู่เมืองสืบไป.
--------------------------

        สืบเนื่องจาก..เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา หลังกลับมาจากไปเที่ยวเยี่ยมชมรีสอร์ทสวยที่เมืองกาญจนบุรี เมื่อกลับมาพักที่สุพรรณบุรี ชำนาญ ณ.อันดามัน ได้รับการชักชวนจากพรรคพวก ให้ไปยังวัดแห่งหนึ่ง ใน อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี นัยว่าเป็นวัดเก่าแก่ มีอายุเกินสี่ร้อยปี แต่อยู่ในสภาพ ชำรุด ทรุดโทรม ขาดการบูรณะมานาน ผมตกลงไปกันตอนบ่ายแก่ๆ

         เมื่อมาถึงและได้เห็นสภาพโดยทั่วๆไปภายในวัด ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกสะท้อนใจ จนทำให้ก่อเกิดการเปรียบเทียบกับภาพของรีสอร์ทหรู ที่ได้ไปพักเมื่อวันที่ผ่านมา อีกทั้งภาพของวัดต่างๆที่ได้พบเห็น ทั้งในเขตสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี ช่างแตกต่างกันราวกับอยู่กันคนละภาค คนละประเทศ

         หลังจากได้เข้าไปกราบนมัสการท่านเจ้าอาวาส ซึ่งกำลังอาพาธจากอุบัติเหตุ โดนรถยนต์ชนแล้วหนี เมื่อประมาณ ต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา

         ภายหลังจากได้สนทนากับท่านในเรื่องราวต่างๆ  ท่านได้ปรารภถึงเรื่องการบูรณะซ่อมแซมบำรุงในส่วนต่างๆของวัด แต่ยังขาดปัจจัยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากขาดการประชาสัมพันธ์ ให้พุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาได้รับรู้ รับทราบ

          และเมื่อท่านได้ทราบว่าชำนาญ ณ.อันดามัน เป็นสื่อมวลชนและเขียนเรื่องราวต่างๆลงเว็บไซต์ด้วย ท่านจึงได้ขอความช่วยเหลือ ให้ช่วยทำการประชาสัมพันธ์ทางโลกออนไลน์ให้ด้วย โดยขอว่าอย่าได้คิดค่าจ้าง ค่าแรงให้สูงมากนัก เพราะตัวท่านเองก็ไม่ได้มีปัจจัยเงินทองมากมาย สำหรับการนี้...

ระดับ ชำนาญ ณ.อันดามัน จะมาขอกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง..จริงไหม?.. พี่น้อง..
ผมตอบท่านไปแบบไม่ต้องไตร่ตรองว่า..
"ผมทำให้ฟรี ฟรี ครับหลวงพ่อ"
เมื่อท่านได้ยินคำตอบ ท่านหุบยิ้มและมองหน้าผม อย่าง งงๆ แบบไม่เชื่อว่าน้ำหน้าอย่างผมจะไม่เห็นแก่เงิน...
"โยม พูดจริงหรือ?" ท่านถามย้ำมา
"พูดจริงครับหลวงพ่อ ผมประชาสัมพันธ์ให้ฟรี ฟรี" ผมย้ำหนักแน่น
เมื่อนั้นแหละ ท่านจึงได้ยิ้มกว้างขวางขึ้นอีกครั้ง
"แล้วโยมจะทำยังไงหรือ?" ท่านสงสัย
"ผมจะเขียนเรื่องราวเล่าให้คนอ่านและลงภาพให้เขาดู ถ้าใครมีจิตศรัทธา ก็ร่วมอนุโมทนาบริจาคปัจจัย ผ่านทางบัญชีธนาคารในนามของวัดหรือของหลวงพ่อ เข้ามาเลย ง่ายๆครับ" ผมอธิบายให้ท่านฟัง

     เมื่อท่านได้ฟัง ท่านเห็นดีด้วย ต่อจากนั้น ท่านก็ได้ให้เบอร์โทรศัพย์ของท่านและเลขบัญชีมากับผม
     ทุกอย่างก็จบ...
     หลังจากนี้ ก็เป็นเรื่องของท่านผู้มีจิตศรัทธา จะนำไปพิจารณากันเอาเอง
     ส่วน ชำนาญ ณ.อันดามัน ถือว่าได้ทำบุญ สร้างกุศลอีกหนึ่งครั้งแล้ว...
ก่อนนมัสการกราบลาออกมาจึงได้รับบุญเป็นพระผงสุพรรณหนึ่งองค์...เห็นทันตาจริงๆ..

วัดไทรย์ ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 4 ตำบลหัวเขา อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี


ป้ายบอกทางเข้าวัด บนถนนสายสุพรรณบุรี-ชัยนาท
ที่ตั้งวัดไทรย์ เข้าซอยไปประมาณ 700 เมตร

ซุ้มประตูวัด ไม่แน่ว่าจะหักโค่นลงมาเวลาไหน หากฝนตกหนักๆ

บริเวณวัดติดถนน ไม่มีแม้แต่รั้วลวดหนาม

บริเวณภายในวัด โล่งโจ้งทีเดียว

อุโบสถน์หลังเก่าเล็กมาก อายุ 400 กว่าปีมาแล้ว

เขตพัทธสีมาของอุโบสถน์หลังเก่า ชำรุดทรุดโทรม

หลวงพ่อดำ ภายในอุโบสถน์หลังเก่า


อุโบสถน์หลังใหม่ สร้างค้างคาอยู่แบบนี้หลายปีแล้ว เนื่องจากขาดปัจจัย


ศาลาการเปรียญ ที่รอรับการบูรณะ

ภายในก็โล่งโจ้ง พื้นแตกยุบ ผุพัง

พระประธาน นั่งตากแดด ตากฝนมาหลายปี

สภาพโดยรวมภายในบริเวณวัด

กุฏิ..มองยังไงก็ไม่เหมือนกุฏิ

ภายในโรงฉัน

โคนไทรนี้ก็รอการบูรณะ ซ่อมแซมเช่นกัน


หลวงพ่อ ยงยุทธ อติสโย เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
ได้รับอุบัติเหตุแขนหัก จากโดนรถชนแล้วหนี


หมายเลขบัญชี สำหรับผู้มีจิตศรัทธา ที่จะอนุโมทนาบริจาคปัจจัย

ติดต่อ สอบถาม ขอข้อมูลรายละเอียดโดยตรงได้ที่..
หลวงพ่อยงยุทธ อติสโย (เจ้าอาวาส)
โทร : 089-9104326

หมายเหตุ .ท่านจะปิดเครื่อง เวลาจำวัด
-----------------------------------------

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ชีพจรลงเท้าเฒ่าอันดามัน(ตอน2/ปราสาทพนมรุ้ง)

            ความจากตอนแรก...คืนวันที่ 16 ก.ค.พวกเรากลับมาจากเดินชมเทียนพรรษาที่วัดป่าเลย์ไล เมื่อเกือบเที่ยงคืน อาศัยนอนที่ อะพาทเม้นท์ของหลานซึ่งอยู่ใกล้ๆนั่นเอง...
            วันที่ 17 ก.ค.54 ผมตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ ด้วยความเคยชิน ตามประสาคนอายุ(เหลือ)น้อย ตื่นขึ้นมา ผมเข้าห้องน้ำของผมมั่ง เสียงน้ำชักโครก..ดังโครกกกก..ครืดดดด..ครวกกกกก..ครากกก..พล๊อกๆๆๆ..เปิดประตูด้านหลังออกไปสูบบุหรี่ของผมมั่ง เสียงเปิดประตูหลัง แอ๊ดดดดด... เสียงปิดตามหลัง ปัง!..เสียงนี้ดังมากหน่อย เพราะลมมันตีกลับ อิอิ..
ท่านทั้งหลาย ลองวาดภาพดูว่าห้อง อะพาทเม้นท์ ค่าเช่าเดือนล่ะสามพันบาท มันจะใหญ่โตกว้างขวางแค่ไหนเชียว...จนน้องๆหลานๆบ่นกันพึม เพราะพวกมันพลอยไม่ได้หลับ ไม่ได้ได้นอนไปด้วย
เสร็จจากภารกิจ กาแฟ+ปาท่องโก๋ และโจ๊กร้อนๆ รองท้องกันทุกคนแล้ว พวกเราช่วยกันหอบสัมภาระมากมาย(เหมือนย้ายบ้าน) พะรุงพะรัง ลงมาหน้าล๊อบบี้ด้านล่าง ซึ่งมีอ่างเลี้ยงปลาขนาดสระว่ายน้ำย่อมๆ ทางเจ้าของอะพาทเม้นท์ เขาเลี้ยงปลาดุกและปลาช่อน อะเมซอนไว้หลายตัว แต่ละตัวขนาดของมันพอๆกับลูกวัว คิดว่าเอาทำเป็นอาหารเลี้ยงคนในงานบวชตามบ้านนอกได้ทั้งงาน
ผมได้ข้อมูลจากแม่บ้านของอะพาทเม้นท์ว่า ราคาซื้อมาตัวละสามหมื่นบาท เฮ้อ...ปลาเลี้ยงสวยงามของคนมีรสนิยมเขา... ผมฟังแล้วทำใจปลง...
ตามแผนของเราวันนี้ พิกัดอยู่ที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี อันเป็นบ้านของหลานสะใภ้ ซึ่งระยะทางพอๆกับภูเก็ต-หัวหินทีเดียว
ประมาณ 8 โมงเช้า เราออกจากที่นั่น โดยพยายามหาเส้นทางที่ลัดที่สุด เพื่อไปให้ถึงสระบุรีเป็นลำดับแรก (ทริปนี้ น้องชายเป็นคนขับรถเองทั้ง 11 วัน โดยชำมะนาญนั่งหลับๆตื่นตลอดทริป)
แต่จากการหาเส้นทางเพื่อทำเวลาย่นระยะทาง กลับกลายเป็นเสียเวลายืดระยะทางไปร่วมชั่วโมง เมื่อมีการหลงเกิดขึ้น
ท่านที่เคยไปสุพรรณบุรีมาบ้าง คงพอจะรู้ว่า สุพรรณฯ มีถนนมากมาย หลายสายเหมือนเส้นขนมจีน เชื่อมโยงไปทะลุโน่น นี่ นั่น ได้หมด และแต่ละเส้นทั้งซ้าย ทั้งขวาเป็นทุ่งนา เวิ้งว้างกว้างไกล สุดลูกหู ลูกตาคล้ายๆกัน ไม่มีป่าใหญ่ ไม่มีภูเขา ให้สังเกตุทิศทางเหมือนปักษ์ใต้บ้านเรา ทีนี้เมื่อไม่ชำนาญเส้นทางจริงๆ บวกกับอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ไม่มีแสงแดดบอกทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ให้จดจำ การเลี้ยวแยกซ้ายตามป้าย เข้าสายนั้นที เลี้ยวแยกขวาตามป้าย เข้าสายโน้นที สุดท้ายมันก็หลงสิครับพี่น้อง ฮ้า ฮ้า ฮ้า...
กว่าจะหลุดไปถึงสระบุรีได้ ก็เมื่อเวลาเกือบเที่ยง...พวกผู้หญิงเริ่มบ่นหิว แต่ร้านอาหารทุกร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็ก ร้านใหญ่ ร้านข้าวราดแกง บนถนนสายสระบุรี-โคราช มันอยู่ในเส้นคู่ขนานทั้งหมดตลอดสาย ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากและเสี่ยงพอสมควรกับการขับรถเข้าไปเบียดกับรถ 18 ล้อและ 22 ล้อ ที่ตามหลังกันออกมาจากโรงงาน เป็นขบวนยาวเหมือนรถไฟสายใต้
เจ้าน้องชายจึงจำเป็นต้องขับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงฟาร์มโชคชัยที่ปากช่อง จึงได้พบร้านที่เหมาะสม ตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆข้างถนน เยื้องๆกับฟาร์มโชคชัยนั่นแหละจึงได้กินข้าวเที่ยงกัน
เราออกจากร้านอาหารนั้น เมื่อบ่ายโมงเศษๆ ผ่านลำตะคอง ที่มีหน่วยกล้าตาย ออกมายืนดักหน้ารถกวักมือ เพื่อให้เลี้ยวเข้าไปจอดกินอาหารที่ร้านของมัน วิธีการนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และใครเป็นเจ้าของไอเดีย ไม่มีใครรู้ และไม่รู้ว่าไอ้พวกหน่วยกล้าตายพวกนั้น เคยโดนรถชนตายไปบ้างหรือเปล่า ก็ไม่มีใครรู้...แต่สำหรับผม รู้ว่าเมื่อขับรถผ่านตรงนั้นแต่ละที มีความรู้สึก ตะหงิดๆในหัวใจทุกที... อยากจะชนแม่ง.. ให้ตายซักคน(ถ้าไม่กลัวติดคุก)
เราไปเลี้ยวขวาที่สี่คิ้ว เข้าถนนสายโชคชัย-หนองกี่-นางรอง-แล้วเลี้ยวขวา ระหว่างนางรองกับประโคนชัย เข้าปราสาทเขาพนมรุ้งเมื่อเวลาประมาณเกือบ 4 โมงเย็น
ที่ลานจอดรถ เต็มไปด้วยรถของนักท่องเที่ยว ทั้งรถส่วนตัว รถบัส บ้ายทะเบียนจากจังหวัดต่างๆ ใกล้ ไกล จอดอยู่เต็มลานจอด เราต้องใช้เวลาหลายนาที รอจนกว่าจะมีช่องว่างให้เข้าไปเสียบ ผมนึกขึ้นได้ว่าเป็นวันหยุดยาวเข้าพรรษา นักท่องเที่ยวจึงหนาตา
ขณะที่เราลงจากรถ เมฆฝนไม่รู้มาจากไหน ลอยมาคลุมอยู่เหนือปราสาทเขาพนมรุ้ง จนมือครึ้มไปทั่วบริเวณ และเมื่อหลังจากเราซื้อตั๋วเสร็จ เดินขึ้นไปถึงช่องเก็บตั๋ว ฝนก็เทลงมายังกะฟ้ารั่ว จนคณะของผมและทักท่องเที่ยวคนอื่นๆอีกหลายคน ต้องยืนเบียดติดฝนกันอยู่ตรงนั้นนานหลายนาที กระทั่งเมฆฝนก้อนนั้นลอยผ่านไป ทิ้งน้ำและดินโคลนแฉะๆไว้ให้พวกเราเดินลุยขึ้นไปบนปราสาท อย่างทุลักทุเล และจากท้องฟ้าที่ยังมัวๆ ทำให้ภาพที่ผมถ่ายมา ไม่สวยงามอย่างที่ตั้งใจไว้
หมายเหตุ...ผมจะไม่เล่าเรื่องปราสาท เพราะสามารถหาอ่านและศึกษาได้จากเว็บไซต์ทั่วไป
            เราอยู่ที่นั่นไม่นาน เพราะเวลาใกล้จะมืดค่ำลงทุกที ระยะทางก็ยังอีกยาวไกล อีกทั้งทางบ้านของหลานสะใภ้ โทรมาบอกให้เร่งรีบเดินทาง อย่าให้ค่ำมากนัก ด้วยความกังวลถึงสวัสดิ์ภาพของพวกเรา กับสถานการณ์ที่ไม่ค่อยจะดี บนเส้นทางที่เราจะต้องผ่านเข้าไป
            ช่วงที่เราลงมาจากเขาพนมรุ้ง เพื่อจะขึ้นสู่ถนนสายหลัก กลับเลี้ยวผิด!. หลงไปในเส้นทางที่ตรงไปชายแดนด้านใต้ กว่าจะรู้ว่าไปผิดทางก็เกือบจะถึง อ.บ้านกรวด ต้องรีบหันหัวกลับด้วยความระทึก!.. เสียเวลาไปหลายนาที กว่าจะกลับมาถึงสายหลักที่สี่แยก อ.ปราสาท
            จาก อ.ปราสาท เราตั้งพิกัดมุ่งตรงดิ่งไปที่ อ.กันทรลักษ์ ด้วยความเครียดกับการจราจร ที่หนาแน่น คับคั่งไปด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ สวนกันมาเป็นหาง บวกกับถนน 2 เลน ที่คับแคบ ขรุขระ ฝนก็ตกหนักเป็นบางช่วงบางตอน รถไม่สามารถทำความเร็วได้ ความมืดกำลังคืบคลานเข้ามาทุกขณะ ปลายทางที่ อ.น้ำยืนโทรมาตรวจสอบพิกัดถี่ขึ้น และบอกเส้นทางให้เรา ทุกคนภายในรถนั่งเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดคุย ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจเป็นระยะเท่านั้น
            เกือบทุ่ม  เราเข้าสู่ อ.กันทรลักษ์ ที่มีห้างโลตัสขนาดใหญ่ มีร้านค้าใหญ่โตมากมาย มีโรงแรม มีรีสอร์ท มีสวนอาหาร แสดงถึงสภาพเศรษฐกิจที่ดีเมื่อก่อนหน้านี้ แต่สภาพของวันนี้ ดูเงียบเหงา ซบเซา อย่างน่าเศร้า จากผลกระทบของเหตุการณ์ตึงเครียดชายแดน
น้องชายหักพวงมาลัย เลี้ยวเข้าสู่ถนนที่จะพาพวกเราไป อ.น้ำยืน ตามที่พ่อของหลานสะใภ้ โทรมาบอกเป็นระยะ ซึ่งต้องไปในเส้นทางเดียวกับทางไปเขาพระวิหารและต้องผ่านหมู่บ้านภูมิซรอล ที่โดนเขมรถล่มเอาเมื่อไม่นานมานี้..สถานการณ์เริ่มระทึกกันแล้วหละพี่น้องเอ๋ย..
            และเมื่อเราเข้าไปตามป้ายทางหลวงที่บอกว่าไปเขาพระวิหาร ลึกเข้าไปประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร ทุกคนมีความรู้สึกว่าทางมันจะเปลี่ยวๆ ยังไงก็ไม่รู้ เพราะนานๆจะมีรถของชาวบ้านสวนมาสักคัน จนพวกเรารู้สึกหวั่นไหวไม่แน่ใจ ว่าจะถูกทางหรือผิดทาง ถามหลานสะใภ้ก็บอกว่าจำไม่ได้ เพราะไม่ได้กลับมาบ้านนานหลายปีแล้ว เอาละสิ!..สถานการณ์เริ่มตึงเครียดเข้าทุกที
 พวกเราเริ่มมีการถกเถียงกันบ้างแล้ว บางคนเริ่มปอดแหก บอกว่าให้ไปทาง อ.เดชอุดม ถึงจะไกลสักนิด แต่จะรู้สึกปลอดภัยกว่า บางคนที่ปอดเล็กกว่า บอกว่าไปตามที่คนปลายทางบอกนั่นแหละดีแล้ว ยังไงเขาก็เป็นคนพื้นที่ เขาย่อมจะรู้สถานการณ์ดีกว่าพวกเราว่า จะไปได้โดยปลอดภัยหรือไม่!...
            ด้วยความลังเล ไม่มั่นใจ เจ้าน้องชายกลับหัวรถ วิ่งกลับไปในตลาด อ.กันทรลักษ์ แวะเข้าปั๊มน้ำมัน ลงไปถามคนแถวนั้น ว่าจะไป อ.น้ำยืน ควรจะไปทางไหน?..
ทุกคนบอกว่า ให้ไปทางเขาพระวิหารนั่นแหละ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า หมู่บ้านภูมิซรอล ก่อนถึงเขาพระวิหาร จากที่นั่นอีกไม่ไกลก็จะถึง อ.น้ำยืน
พวกเราบ้างคน ถามว่า บนเส้นทางนั้นปลอดภัยดีหรือไม่?..
คนพวกนั้น ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ..เอ๊ะ..มันหมายความว่ายังไง(ว่ะ)?....
สุดท้าย จากเสียงข้างมากสรุปว่าให้ไปทางเดิม..ในเมื่อตั้งใจมากันแล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทุกคนขึ้นรถ ออกเดินทางต่อไป ในเส้นทางเดิม แต่มืดกว่าเดิมและเปลี่ยวกว่าเดิม..
เราไปกันด้วยความเร็วพอสมควรและระมัดระวัง นานๆ จะเห็นแสงไฟจากหน้ารถสวนมาสักคัน จนกระทั่งเห็นป้ายทางหลวงเขียนว่า เขาพระวิหารและบ้านภูมิซรอล พวกเราใจชื้นขึ้นมาบ้าง และอีกประมาณ 3 นาที เราก็เลี้ยวซ้ายที่สามแยกหมู่บ้านภูมิซรอล ซึ่งยังพอมีร้านค้าเปิดไฟสว่างอยู่บ้าง
เรามุ่งหน้าตรงไป อ.น้ำยืน ผ่านทุ่งนา ผ่านป่าทึบ ถนนคดเคี้ยวพอสมควร นานๆจะเห็นแสงไฟจากบ้านที่อยู่ริมถนนสักดวง
จนในที่สุดเราก็มาถึงตลาด อ.น้ำยืน เมื่อเวลาเกือบ 3 ทุ่ม ทุกคนเริ่มรู้สึกถึงความหิว เมื่อความเครียดผ่อนคลาย น้องชายจอดรถหน้าเซเว่น เพื่อให้ทุกคนลงไปหาซื้อน้ำประทังความหิว เพราะหลานสะใภ้ บอกว่า อีกไม่ไกลก็ถึงบ้านแล้ว พ่อกับแม่รออยู่ พวกเราต้องไปกินข้าวที่บ้าน
เราออกจากตัวตลาดน้ำยืน เข้าสู่ถนนคอนกรีตของ อบต.และถนนดินลูกรังเป็นบางช่วงบางตอน ผ่านไร่มันสำปะหลัง สวนลำไย สวนแก้วมังกรและสวนยางพารา เราเข้ามาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่ถึงบ้านสักที จนหลานสะใภ้ โทรไปถามพ่อเธอว่า บ้านพ่ออยู่ตรงไหน?...ก๊ากกก..กลับบ้านพ่อตัวเอง..หลง!..ต้องโทรถามพ่อ..อิอิ..
เมื่อสื่อสารกันรู้เรื่องปรากฏว่าเลยบ้านไปเกือบ 5 กิโลฯ...เฮ้อ..เวรกรรมบ้านตัวเองแท้ๆ จำไม่ได้!!!.พวกเราหัวเราะกันครืน ด้วยความไม่ถือสา และด้วยความระทึกที่จางหายไป เมื่อมาถึงพิกัดโดยปลอดภัย
เกือบ 4 ทุ่ม เรามาถึงบ้านเป้าหมาย ซึ่งไกลเข้ามาจากตัว อ.น้ำยืน ถึง 20 กิโลเมตร และวันทูคอล เท่านั้นที่มีสัญญาณให้โทรได้ นอกนั้นตายสนิทครับพี่น้อง....

ประมวลภาพปราสาทพนมรุ้ง




























*** รอติดตาม ตอนที่3-น้ำยืน-ภูมิซรอล-เขาพระวิหาร เร็วๆนี้***