วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทริปเขื่อนเชี่ยวหลานแบบไทยไทย ที่กุ้ยหลินเมืองไทย


เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา พรรคพวกของผมที่ภูเก็ต ติดต่อกับผม บอกว่า วันที่ 19 ก.พ.จะพา
สมาชิกประมาณ 10 คน ไปนอนแพไม้ไผ่ ที่เขื่อนเชี่ยวหลานสักคืน ให้ผมช่วยจองแพที่พักให้ด้วย

วันที่ 18-19 -20 ก.พ. เป็นวันหยุดยาว ผมรู้อยู่แล้วว่า คงจะหาที่พักยาก เพราะคนที่ตั้งใจจะไปกุ้ยหลินเมืองไทยสักครั้ง ในชีวิต ต้องจองแพที่พักล่วงหน้าเป็นเดือน ไหนจะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีก
แต่ผมก็บอกกับเขาไปว่า จะพยามยามจองให้ในนามบริษัททัวร์ที่มีคอนแท็คกันอยู่
ให้เขารอฟังข่าววันที่ 17 ก็แล้วกัน
ผมติดต่อประสานงานกับทางทีมงานที่เขื่อนเชี่ยวหลานเรื่องที่พักตั้งแต่คืนวันที่ 16 ก.พ.
พอตอนสายๆ ของวันที่ 17 ก.พ. ผมโทรไปบอกเขาว่า แพที่พักเต็มแน่นเอี๊ยด อย่าว่าแต่ 10 คน
แค่สองคนก็ไม่มีให้

เขารับรู้ด้วยความเข้าใจสถานการณ์และบอกกับผมว่าคงต้องไว้โอกาสหน้า
แต่พอตอนเย็นของวันนั้น ทีมงานของผม โทรมาบอกว่า หาที่พักให้ได้แล้ว
ผมจึงรีบโทรไปบอกพรรคพวกว่าได้ที่พักแล้ว จะไปหรือไม่?
เขาบอกว่าไปและถ้าผมว่างต้องการให้ผมไปเป็นไกด์ให้เขาด้วย
ผมตอบตกลงและนัดแนะเวลา การออกเดินทางจากภูเก็ต พร้อมทั้งวางโปรแกรมให้เขาเสร็จสรรพ

ตามเวลานัด 8 โมงครึ่ง ของวันที่ 19 ก.พ.54 ผมไปถึงที่บ้านพรรคพวก ซึ่งเป็นจุดรวมพล
ผมตรวจสอบจำนวนคน ปรากฏว่า เขามี 9 คน มีผู้ชายอาวุโสกว่าผมอยู่คนเดียว
นอกนั้นเป็นเด็กหนุ่มสาววัยรุ่น ซึ่งเป็นคนในครอบครัวและเพื่อนบ้านของเขา
เป็นอันว่า ทริปนี้ ผมมีลูกทัวร์ เป็นวัยรุ่นส่วนใหญ่ ยังไม่รู้ว่าจะทำให้ผมปวดหัวตัวร้อน ไข้ขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน

9 โมงกว่า จึงได้เคลื่อนพลออกจากภูเก็ต โดยใช้รถฟอจูนเนอร์ 2 คัน กำลังดีกับจำนวนคน 10 คน
ผมกำหนดเส้นทาง ภูเก็ต-ทุ่งมะพร้าว-อำเภอกะปง แล้วไปทะลุออกถนนสาย ตะกั่วป่า-สุราษฎร์ธานี ก่อนจะเข้าเขตเขาสก ซึ่งห่างออกไปไม่ไกล

11 โมง ถึงวัดถ้ำลิงใกล้ๆทางเข้าอุทยานฯเขาสก ตามโปรแกรมที่ผมกำหนดไว้
ค่อนข้างโชคดีที่วันนี้มีตลาดนัดในวัดจึงมีลิงลงมาฝูงใหญ่
เพราะลิงมันรู้ว่าต้องอิ่มหนำสำราญกับของกินมากมาย จากชาวบ้านที่มาจ่ายตลาด
ถ้าเป็นวันที่ไม่มีตลาดนัด เวลาเที่ยงแบบนี้ ไม่ได้เห็นตูดลิงของพวกมันหรอก

แต่ถ้าลิงมันคิดจะได้กินกล้วยจากนักท่องเที่ยวกรุ๊ปนี้
คงได้อด นั่งหน้าเป็นลิงแน่ๆ..
เพราะไม่มีใครคิดจะซื้อกล้วยให้ลิงสักคนเดียว...

ผมปล่อยให้ลิงแหกหน้าหลอกลูกทัวร์อยู่ที่นั่น ประมาณ 15 นาที จึงชวนขึ้นรถ
เพื่อไปกินอาหารเช้า+เที่ยง เพราะก่อนออกมาจากภูเก็ต ยังไม่ได้กินอาหารเช้ากันสักคน

บรรยากาศที่ร้านอาหารของรีสอร์ทชื่อภูผาและลำธาร เมื่อเวลาเกือบเที่ยง
ด้วยความ โยกโย้ อืดอาด ยืดยาด ตามประสาพี่ไทยใจเย็น

ผมบอกพวกเขาว่า ขอให้ทำเวลากันหน่อย เพราะเราต้องแวะถ้ำปลาอีกจุด
และผมนัดเรือที่เขื่อนเชี่ยวหลานไว้ตอน บ่ายโมง

เมื่อถึงวัดถ้ำพระวังมัจฉา
ก่อนเข้าประตูทางเข้าถ้ำปลา ผมบอกให้ลูกทัวร์ ซื้ออาหารปลา
ถุงละ 10 บาทคนละถุง ป้องกันปลามันจะนินทาเอาได้ว่า
ลูกทัวร์ของไกด์ชำมะนาญ เป็นกาว..

ที่วังมัจฉา
ขณะที่ทุกคนกำลังให้อาหารปลา ด้วยความสนุกสนาน
มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นนิดหน่อย

เมื่อเจ้าหนุ่มวัยรุ่นใส่เสื้อสีชมพู มีน้ำหนักตัวมากกว่าผมหลายกิโลฯ
 ทะเร่อทะร่า อีท่าไหนผมไม่ทันสังเกตุ
ลื่นจากก้อนหินที่กำลังยืนถ่ายรูป(แบบมืออาชีพแต่สมัครเล่น)
ตกโครมลงไปในคลอง

โชคดีที่ไม่ถึงกับได้รับบาดเจ็บ แค่รองเท้า(ที่แม่ซื้อให้)หายไปกับฝูงปลาข้างหนึ่ง
เจ้าตัวบ่นโขมงโฉงเฉง เพราะเหลือรองเท้าอยู่ข้างเดียว

ผมได้ยินเสียงใครบางคน บอกว่ารองเท้าข้างที่เหลือโยนลงไปให้เป็นอาหารปลาเสียด้วย
จะได้ไม่ต้องเดินใส่รองเท้าข้างเดียวแบบไอ้บ้า!!!..

ในที่สุดก็มาถึงท่าเรือเขื่อนเชี่ยวหลาน เมื่อบ่ายโมงครึ่ง
ทั้งๆที่ผมบอกทุกคนแล้วว่าผมนัดเรือไว้บ่ายโมง!..

นี่คือทัวร์แบบไทยๆ ลูกทัวร์คนไทยครับพี่น้อง
แต่รู้สึกว่าเขาไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องเวลา พวกเขาคงไม่เดือดร้อนอะไร
อย่างดีก็แค่ขาดทุนที่ไม่ได้กินข้าวเที่ยงที่แพ หนึ่งมื้อ
ซึ่งรวมอยู่ในค่าที่พัก แล้วผมจะต้องเดือดร้อนทำไมด้วย..อิอิ..

สัมภาระมากมายเกินความจำเป็น ส่วนใหญ่เป็นเสบียงประเภทของเมา
และกว่าจะได้ลงเรือ ก็ปาเข้าไปบ่าย 2 โมง
เพราะพวกเขาวุ่นวาย อยู่กับการแอ็คท่าถ่ายรูป ไว้เป็นที่ระลึก

เมื่อลงเรือ ผมบอกให้ทุกคนใส่เสื้อชูชีพ แต่ไม่ค่อยมีใครอยากใส่
จนต้องบอกว่า ถ้าไม่ใส่ เจ้าหน้าที่อุทยานฯจะจับคนขับเรือ
นั่นแหละถึงได้รับเสื้อชูชีพจากผมกันไปคนละตัว อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
แต่ก็รับไปคลุมไหล่ไว้แบบขัดไม่ได้..ก็ยังดี

คงคิดว่า ข้าฯมาจากทะเลภูเก็ตนะโวยยยย!...แค่น้ำในเขื่อน เรื่องจิ๊บๆ..
แต่..ขอโทษ บางคนว่ายน้ำไม่เป็นครับพี่น้อง ฮ้า ฮ้า...

เรือกำลังมุ่งหน้าตรงไปที่ช่องเล็กๆ ไกลๆนั่น
และทุกคนก็แฮปปี้กับทิวทัศน์ ภายในเขื่อน

ช่วงที่ออกจากท่าเรือมาได้ประมาณ 10 นาที
มีการเปลี่ยนนายท้ายเรือกันกลางน้ำ
จากคนที่พาเราออกมาจากท่าเรือ เปลี่ยนเป็นอีกคน
ที่ขับเรืออีกลำมาจากภายในเขื่อน ซึ่งมีผู้โดยสารเต็มลำ ด้วยเหตุผลกลใดไม่แน่ชัด

แต่ก็ถือว่าโชคดีของพวกเรา เพราะนายท้ายเรือคนนี้ ค่อนข้างจะใจเย็น
ถ้าเป็นคนอื่นคงตีหน้ายักษ์ใส่บ้างแล้ว เมื่อผู้โดยสารแต่ละคน
ชวนกันออกแอ็คชั่น ถ่ายรูปบ้าง ถ่ายคลิปวีดีโอบ้าง(รวมทั้งไกด์ด้วย)
ย้ายไปแคมโน้นที ย้ายไปแคมนี้ที ทำให้เรือเอียงวูบซ้ายที่ วูบขวาที
 ซึ่งมันทำให้ยากต่อการบังคับเรือของนายท้าย

มีหลายครั้งที่พี่แกส่งสายตาให้ผม
แบบบอกใบ้ว่า อยากถีบลูกทัวร์ของผมลงน้ำจริงๆ...


ยิ่งเข้าไปใกล้ ทิวทัศน์ยิ่งงดงาม


งดงามเกินบรรยาย


บนเส้นทาง จะมีเรือแล่นสวนออกมาจากภายในเขื่อน ตลอดเวลา


ตรงจุดนี้ จะมีใครสักกี่คนที่มองเห็นความงดงามของทิวทัศน์

1 ชั่วโมง เต็มๆ จากท่าเรือต้นทางที่เขี่อนเชี่ยวหลาน
เราก็มองเห็นแพที่พักลอยอยู่ในทะเลสาบระหว่างเขาสองลูก
เบ็คกราวด้านหลังเป็นยอดเขาสูงสลับซับซ้อน

ลูกทัวร์ตื่นเต้นกับความสวยงามของแพที่พัก
และประทับใจกับความงดงามของธรรมชาติรอบข้าง


บ่าย 3 โมง ผมบอกลูกทัวร์ให้รีบเอาสัมภาระ ขึ้นไปเก็บที่ห้องพักก่อน
ต่อจากนั้นเราจะนั่งเรือต่อไปอีก 15 นาที
เพื่อไปยังท่าเรือจุดเริ่มต้นเดินข้ามเขาไปยังทะเลสาบที่เรียกว่า"ห้าร้อยไร่"
เพื่อนั่งแพไม้ไผ่ไปยัง "ถ้ำปะการัง"


หลังจากวุ่นวาย ทุลักทุเล กับการขนย้ายสัมภาระจำนวนมาก จากเรือเข้าที่พัก
15 นาทีต่อมา(ขนาดว่ารีบแล้วนะ) เรานั่งเรือออกมาจากแพที่พัก
 เพื่อไปยังอีกท่าเรืออันเป็นจุดเดินป่า

ที่ท่าเรือ ซึ่งเป็นตะลิ่งริมน้ำ มีเรือจอดอยู่หลายลำ
จากจุดนี้เราต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ
จึงถึงจุดที่มีแพไม้ไผ่ติดตั้งเครื่องยนต์ ไว้บริการ นำไปยัง "ถ้ำปะการัง"

ขึ้นจากเรือ ทุกคนยังกระฉับ กระเฉง และกระตือรื้อร้น
จะไปสัมผัสกับ "ถ้ำปะการัง" ที่ผมโม้เอาไว้ว่าสวยงามอย่างพิศดาร

ภาพนี้(และอีกหลายภาพ)ได้รับความเอื้อเฟื้อจากลูกทัวร์

หลังจากที่ได้แนะนำกฏ กติกา มารยาทในการเดินป่าให้ลูกทัวร์เป็นที่เข้าใจ
ไกด์ก็เริ่มออกเดินนำลูกทัวร์...
ลูกทัวร์ ของนายชำมะนาญ ครับ แล่มๆ

ไม่เกิน 10 นาทีหลังจากออกเดิน ลูกทัวร์ก็เริ่มนำหน้าไกด์!..
เป็นเหตุการณ์ธรรมดาของทุกทริปที่เกิดขึ้น

แต่...เมื่อเดินไปไม่ถึงครึ่งทาง ไกด์ก็ต้องหยุดรอลูกทัวร์...
และต้องใช้สารพัดวิธี ทั้งปลอบ ทั้งขู่ ทั้งหลอก ทั้งหลอนและให้กำลังใจ
กระตุ้นให้เขาเดินต่อไป.


เมื่อมาถึงทะเลสาบ "ห้าร้อยไร่" จุดนั่งแพไม้ไผ่ ไปยัง "ถ้ำปะการัง"
ขณะที่เรามาถึง นักท่องเที่ยวที่กลับมาจากถ้ำก็มาก

พวกที่รอคิวแพอยู่ก็อีกหลายกรุ๊ป
ทั้งเด็กหนุ่มสาวและเฒ่าชะแร แก่ชรา
ทุกกลุ่ม ทุกกรุ๊ป มีเป็น 10 คน
แต่มีแพไม้ไผ่อยู่แค่ 4 ลำ สลับกันวิ่งไป วิ่งมา
ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 15 นาที

เมื่อผมไปติดต่อจองคิว จึงปรากฏว่าต้องรออีก 5 กรุ๊ป ของผมรองบ๊วย...


ช่วงที่กำลังรอคิว ผมได้เจรจากับไกด์กรุ๊ปก่อนจากผม ว่าจะขอรวมไปแพเดียวกันกับเขา
จะได้ไม่ต้องเสียเวลา น้องไกด์คนนั้นไม่ขัดข้อง..
แต่เมื่อเขาไปคุยกับลูกทัวร์ ปรากฏว่าลูกทัวร์ของเขา ขัดข้อง...

คนไทยด้วยกันแท้ๆ ใจแคบจริงๆ ผั๊บผ่า...
ผมคิดในใจว่า ถ้าบังเอิญในกลุ่มนั้นมีใครตกแพ หรือตกน้ำลงไปละก็จะไม่ช่วยเด็ดขาด..

ในที่สุดกรุ๊ปของผมก็มาถึงจุดหมาย จากท่าน้ำที่แพจอด
เดินไต่ขึ้นไปพอมีอาการปากอ้า จึงถึงปากถ้ำ


ที่ปากถ้ำ มีเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ คอยบริการนำเข้าถ้ำด้วยไฟจากแบ๊ตเตอรี่รถยนต์

ส่วนไกด์ขอรอข้างนอก เพราะมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯทำหน้าที่แทนแล้ว
และคอยให้ทิปเมื่อตอนกลับออกมา
หินงอก คล้ายปะการัง ภายในถ้ำ

(ภาพได้รับความเอื้อเฟื้อจากลูกทัวร์)



หินย้อย

เหรียญราคาต่างๆ จากนักท่องเที่ยว วางไว้ที่โคนหินงอกนี้
ที่เชื่อว่าเป็นศิริมงคลและจะมีโชค มีลาภ
ก็ว่ากันไปตามความเชื่อ ความศรัทธา...


ประมาณ 20 นาที่หลังจากนั้น ผมรีบต้อนลูกทัวร์ลงแพ
เพราะเวลามีน้อย เผื่อว่าพวกเขาจะได้กลับไปเล่นน้ำ หน้าที่พักก่อนมืด

ไกด์รึบลงเรือไม่รอใคร ถ้าขืนยังไม่รีบลงพวกลูกทัวร์ก็โอ้เอ้อยู่นั่นแหละ
เป็นการเร่งเวลากลายๆ ซึ่งได้ผลระดับหนึ่ง...


เมื่อกลับมาถึงแพที่พัก กิจกรรมการเล่นน้ำก็เกิดขึ้นทันที ไม่มีรอช้า

ทุกคน..ยกเว้นไกด์ เพราะต้องคอยดูแล ระแวดระวังตักเตือนลูกทัวร์
ตอนกระโดดลงน้ำ มันมีหัวสะพานยื่นออกไป มีตอไม้อยู่ใต้น้ำ
และที่สำคัญตะคริว ซึ่งจับเอาตอนอยู่ในน้ำ 2-3 คนโดยไม่รู้ตัว

ไม่น่าเชื่อว่าการทำทัวร์กับลูกทัวร์คนไทย ไกด์จะต้องปากเปียก ปากแฉะ
มากกว่าลูกทัวร์ที่เป็นฝรั่ง...


ท่านผู้อ่านลองดูลูกทัวร์ของไกด์ชำมะนาญสิ
ไม่ใช่เด็กแล้วนะ อีตอนลงน้ำยังต้องพูดเตือนตลอดเวลา โฮ้ย...


นี่แหละครับอาวุโสที่สุดในกลุ่ม แต่ก็ซ่าจนหยดสุดท้ายเหมือนน้ำอัดลมบางยี่ห้อ
แกเป็นคนอยู่กับทะเลแท้ๆ...
ขอโทษ..ว่ายน้ำไม่เป็นครับท่าน..ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า...

แต่ ลงน้ำก่อนใครเพื่อน โดยใช้วิธีใส่เสื้อชูชีพ
แล้วเอาเชือกที่ผูกกับสะพานทางเดิน มาผูกกับเอวอีกที กันเหนียว
รู้จักกลัวตายเหมือนกัน อิ อิ..

ผมนี้ไม่กล้าละสายตาไปมองที่อื่นเลย
 กลัวว่าเมื่อหันมาอีกทีจะเห็นแค่เสื้อชูชีพกับเชือก!?..

ส่วนตัวป๋าเอง ไม่สนใจใคร กระดกเบียร์พลาง ร้องเพลง"เรือนแพ"ไปพลาง สบายใจเฉิบ
หารู้ไม่ว่า ไกด์นั่งกระเพาะหด กลัวตะคริวจับแกจมน้ำตาย

ถ้าเกิดขึ้นจริงๆ มีหวังไกด์ได้ติดคุกหัวโต เผลอๆตายในคุกซะก็ไม่รู้
เพราะอายุติดคุกมากกว่าอายุของไกด์ที่ยังเหลืออยู่..


แล้วก็ยังแช่น้ำอยู่จนมืดค่ำ ทำเป็นหนุ่มๆ แถมยังกินเบียร์ตลอดเวลา
ไกด์เลยไม่ต้องได้อาบน้ำอาบท่ากัน มัวนั่งเฝ้า เฒ่าจอมซ่า
กลัวว่า แกจะทำกาลกิริยาไปต่อหน้าต่อตา..

ส่วนวัยสะรุ่น ก็ทำความหนักใจให้อีกแบบ โดยไม่ต้องบรรยาย
ดูได้จากท่ากระโดน้ำของแต่ละคนเอาเองก็แล้วกัน

พวกพ่อเจ้าพระคุณกระโดดน้ำแต่ละท่า
ผมนั่งลุ้นจนตูดขมิบ ว่ายังจะโผล่กลับขึ้นมาเหนือน้ำได้อีกหรือเปล่า...

บางส่วนก็ขึ้นมานั่ง หน้าขาว ปากเขียว รอพวกที่ไม่เคยพบน้ำจืด
ให้ขึ้นมาเพื่อไปกินอาหารค่ำ
ซึ่งผมนัดให้ทางแพเขาเตรียมจัดโต๊ะไว้ตั้งแต่ทุ่มครึ่ง


จากเวลานัดที่โต๊ะอาหารทุ่มครึ่ง ได้ลงมือกินข้าวค่ำกันจริงๆ 2 ทุ่มครึ่ง

แถมยังมีเบียร์คั่นเวลาอีก เล่นเอาไกด์มึน หูอื้อ ตาลาย คล้ายๆจะเมาเอาเหมือนกัน
แค่นั้นยังไม่พอ กินข้าวเสร็จพนักงานเก็บโต๊ะเรียบร้อย
ป๋าติดลม...สั่งเบียร์เพิ่มอีก หนึ่งโหล 12 ขวด
ทีนี้ละครับ เพลงเพื่อชีวิตบ้าง สตริงบ้าง ลูกทุ่งบ้างแถมเร็กเก้อีกต่างหาก
กลายเป็นมหกรรมประชันดนตรีงานวัดเลย..

และที่ขาดไม่ได้ เพลงเรือนแพ ครับพี่น้อง ป๋าแกร้องวนไป วนมาอยู่นั่นแหละไม่ยอมจบซะที
จนผมกลัวว่าจะมีการมอบพวงมาลัยเป็นแก้ว เป็นขวดเบียร์ จากนักท่องเที่ยวโต๊ะอื่น
ที่เขานั่งคุยกันเงียบๆ จะปลิวมาให้
จึงตัดสินใจต้อนให้พวกเขากลับไปประชันกันต่อหน้าห้องพัก
แต่เมื่อกลับไปนั่งหน้าห้องพัก ป๋ากลับเปิดฟลอลีลาศ บนสะพาน ทางเดินซะเลย
กว่าจะเงียบไปได้เกือบเที่ยงคืน
เล่นเอาไกด์นั่งเฝ้าจนเมาไปเร้ยยย...

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ด้านหน้าของแพที่พัก


บรรยากาศส่วนหนึ่งของ กุ้ยหลินเมืองไทย


ด้านหลังแพที่พัก กับแสงอาทิตย์แรกสัมผัสยอดเขา

อีกมุมมอง จากด้านหลังแพที่พัก


ผมเชื่อแล้วว่า พวกที่อยู่กับน้ำทะเล เมื่อพวกเขามาพบน้ำจีด
พวกเขาไม่เบื่อที่จะลงน้ำ แม้กระทั่งเวลาเช้ามืด

ดูกันเอาเองก็แล้วกันครับ
ผมนัดกินข้าวตอน 7 โมงเช้าตามโปรแกรม
เพื่อจะได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศความงามของกุ้ยหลินเมืองไทย ตั้งแต่เช้า

แต่ 7 โมงครึ่ง พวกยังกระโดดน้ำตูมๆอยู่อีก
ผมจึงต้องทำใจ ตามใจพวกเขา
8 โมงครึ่งจึงได้ร่ำลาจากมา มุ่งหน้าไปที่บริเวณ กุ้ยหลิน


9 โมงครึ่ง เข้าสู่บริเวณที่เรียกว่า "กุ้ยหลินเมืองไทย" ใน "เขื่อนเชี่ยวหลาน"
หรือที่มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า "เขื่อนรัชชประภา"















เมื่อมาอยูในบรรยากาศของธรรมชาติที่งดงาม
ป๋าก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ส่วนคนอื่นๆประทับใจกับธรรมชาติรอบตัวกันทุกคน

หลายคนบ่นว่า ถ้ามาเช้ากว่านี้ คงจะได้สัมผัสกับความงดงามมากกว่านี้
ไว้โอกาสหน้าเถอะ วันนี้ท่านหมดโอกาสแล้วครับ...
คุณลูกทัวร์แบบไทยไทย..

สมน้ำหน้า ไม่รักษาเวลากันดีนัก หุ หุ...



สวัสดี กู๊ดบาย เขื่อนเชี่ยวหลาน(รัชชประภา) เมื่อเวลา 11 โมง ของวันที่ 20 ก.พ.54
ก่อนออกเดินทางกลับภูเก็ต

มีโอกาสจะมาใหม่
----------------

ชมวีดีโอ ทริปเขื่อนเชี่ยวหลานแบบไทยไทย



-------------------

แล้วก็จบแบบไทย ไทย

พบกันใหม่เรื่องต่อไปนะครับ

ด้วยความจริงใจจาก...ชำนาญ ณ.อันดามัน

สวัสดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน