วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผ่าตัดตา ภาคสอง

-------------------------------------------------------------------------------------------

รอบนี้ผมหายไปหลายวัน รักษาตัวด้วย มีการเปลี่ยนแปลงที่เขียนด้วย จึงห่างหายจากท่านผู้ชมหลายเวลา หลังจากนี้ หวังว่าทุกอย่างคงจะดีขึ้น

ผมออกจากโรงพยาบาลมาตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. พยายามเก็บเนื้อ เก็บตัว ปฏิบัติตัวตามคำสั่งของหมอ และตามคำขู่ของพยาบาล พยายามอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน จนเนื้อตัวซีดเป็นผีตองเหลืองเลย

ว่าจะไม่เล่าให้อ่าน เพราะครั้งก่อนก็เล่าไปแล้ว ซ้ำซาก มันก็น่าเบื่อ เหมือนดูหนังเก่า จริงแม๊ะ?

แต่ มัน ตะงิดๆ ในหัวใจยังไงก็ไม่รู้ เหมือนกับหนังมันจบไม่บริบูรณ์ ก็เลยตัดสินใจสร้างภาคสอง มาให้ชมกันอีก เพื่อให้จบแบบผู้สร้างสบายใจ ส่วนท่านผู้ชม จะรู้สึกยังไงก็เรื่องของท่าน (แนะพูดหัวหมอ ยังกะมีเอกสิทธิ์ สส.คุ้มครอง เหมือนใครบางคน) แฮะ แฮะ ว่าจะไม่แล้วเชียว!

เอ้า ต่อจากภาคที่แล้ว หมอนัดไปพบที่ รพ.ตอนบ่ายโมงของ วันที่ 19 พ.ค. หลังจากที่หมอ ส่องตาซ้าย-ขวาเสร็จ ก็ให้ไปยื่นเอกสารเป็นผู้ป่วยใน และรับยาจากห้องยาเรียบร้อย ต่อจากนั้นก็เดินคลำๆไปตึกศัลยกรรมหญิง ซึ่งก็ไปไม่ยากเพราะเคยไปมาแล้ว ขึ้นไปชั้นสอง ตรงไปที่ห้องพักพยาบาล เจอพยาบาลคนเดิม(ใจดี)เมื่อภาคแรก



ที่ชั้นสอง ตึกศัลยกรรมหญิง รพ.วชิระภูเก็ต
--------------------------------------------

เธอทักทาย "ลุงชำนาญ มาอีกแล้วเหรอ?"

ผมตอบ"ครับ หมอนัดมาเอาอีกข้างออก"

เธอพูดต่อว่า "ลุง จะนอนที่นี่หรือกลับไปนอนบ้านแล้วค่อยมาพรุ่งนี้เช้า?"

"ถ้ามาพรุ่งนี้ คงได้นอนเตียงเสริมหน้าห้องน้ำอีก ขอนอนนี่จองเตียงใว้ดีกว่า" ผมต่อรอง เพราะผมจองห้องพิเศษ เขาไม่มีให้ ตั้งแต่ภาคที่แล้ว


เตียงซ้ายมือนั่นแหละครับ คือเตียง วีไอพี ที่ผมนอนเมื่อภาคแรก
------------------------------------------------------

"ลุงกลับไปนอนบ้านเถอะ เดี๋ยวหนูจะล็อคเตียง 26 ที่ริมหน้าต่างไว้ให้" เธอใจดีกับผมจริงๆ

แล้วเธอก็ให้ผมเข้าไปในห้องพักพยาบาล วัดความดัน และจัดการตัดขนตาของผมเรียบวุธ แล้วก็บอกให้ผมกลับบ้าน

"เตียง26 แน่น่ะ" ผมย้ำอีก

เธอบอก "รับรองน่าลุง"

แล้วผมก็เดิน ฮัมเพลง "ให้ลุงก่อน ลุงแก่แล้ว" กลับบ้านด้วยความครึ้มใจ!


หน้าห้องพักพยาบาล
-----------------------------------------------

7 โมงเช้าเป๊ะ ของวันที่ 20 พ.ค. ผมมาถึงหน้าห้องพักพยาบาล ไม่เจอเธอผู้ใจดี(เธอคงไม่ได้เข้าเวรเช้านี้)ผมใจหายวาบและขนลุกเกรียวเลยครับ ท่านผู้ชม

เพราะผมเจอเธออีกคน ที่เคยจัดให้ผมนอนหน้าห้องน้ำ เมื่อภาคแรก และหน้าตาของเธอในเช้าวันนี้ เหมือนกับทะเลาะกับลูกชายอายุ 16 ปี ของเธอก่อนออกมาจากบ้าน อาจจะเกิดจากปัญหาขอเงินไปเที่ยว หรือพ่อของไอ้เจ้าลูกชาย ยังไม่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน หรืออาจจะร้ายแรงกว่านั้น(ที่ผมนึกไม่ออก) เพราะหน้าตาและสำเนียงของเธอที่พูดกับผม บ่งบอก..


ห้องรวม เตียง39 อยู่สุดมุมขวามือ
---------------------------------------------

"คุณชำนาญ ใช่ไหม?, มาคนเดียวอีกแล้วซิ,เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปนอนรอที่เตียง39" ฮือๆๆๆ ผมร้องไห้แบบไม่กล้าออกเสียง

แต่ยังแข็งใจพูดออกไปเสียงอ่อยๆ "เมื่อวานเขาจองไว้ไห้ผมที่เตียง26ครับ"

"ใครจัดให้ ไม่รู้เรื่อง เตียง26 เขาไว้ให้ผู้ป่วยเด็ก" ผมแอบมองไป ไม่เห็นเด็กป่วยซักคน

"อย่าเรื่องมาก เตียง39 นั่นแหล่ะดีแล้ว ประเดี๋ยวจะเรียกมาหยอดยาขยายม่านตา แล้วไปห้องผ่าตัด วันนี้คิวแรกน่ะ"



เตียง 39 หัวเตียงชนกัน ที่เห็นพยาบาลก้มๆเงยๆอยู่นั่น โคม่าครับ
--------------------------------------------------------

ก็ยังดีที่ได้คิวแรกและไม่ต้องนอนฟังมโหรีปี่พาทย์ที่หน้าห้องน้ำ ยังไง ยังไง ผมก็ต้องทำใจ

ประมาณ เก้าโมงครึ่ง ได้ยินเสียงเรียกชื่อผม เพื่อไปขึ้นรถ วีไอพี (วีลแชร์) เพื่อเดินทางไปห้องผ่าตัด ซึ่งอยู่ที่ชั้น5 ของตึกอีกหลัง

ก็เหมือนครั้งแรก นอนรอฟังเสียงเขาคุยกัน และมีคนมาถามชื่อ นามสกุล ซ้ำๆกันหลายครั้ง จนกระทั่งได้เวลาขึ้นเขียง ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนปกติ คุณหมอเตรียมอุปกรณ์การผ่าตัดเรียบร้อย ปิดหน้า ปิดตาผมเสร็จ กำลังจะลงมือ

ผมได้ยินเสียงคุณหมอร้อง เอ๊ะ แล้วถามผมว่า “คุณชื่ออะไรค่ะ?”

ผมตอบออกมาจากใต้ผ้าปิดหน้าว่า “ชำนาญครับ”

ได้ยินเสียงคุณหมอ พูดเชิงบ่น ให้ผมได้ยิน “เขาเขียนภาษาอะไรของเขา”

ต่อจากนั้นก็ลงมือคว้านลูกนัยน์ตาผมตามขั้นตอน จนเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนหมอ

กระทั่งกลับมาถึงตึกพักฟื้น ผมจึงหายสงสัยว่าทำไม คุณหมอถึงบ่นเรื่องภาษา

เมื่อผมสังเกตุเห็น ตัวหนังสือที่เขียนติดอยู่บนป้ายข้อมือผม อย่าว่าแต่คุณหมอเลย ผมเองก็ยังอ่านไม่ออก ว่ามันเป็นภาษาอะไร?


ท่านผู้ชมคิดว่าเธอน่าจะมีอาชีพเขียนการ์ตูนมากกว่ามั๊ย?
-------------------------------------------------------

ตัวหนังสือแบบนี้ ลวดลายแบบนี้ ไม่น่ามาเรียนวิชาพยาบาลเลย ผับผ่า! ควรจะไปเรียนเพาะช่าง จะเหมาะกว่าเป็นไหนๆ

ผ่าตัดวันนี้ พอหมดจากฤทธิ์ยาชา ผมรู้สึกปวดมากจนต้องขอยาแก้ปวดจากคุณพยาบาล มากินจนหลับไปได้ มาตื่นอีกที เกือบ 6 โมงเย็น รู้สึกหิวมากเพราะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า อ้ายเจ้าลูกชายก็ยังไม่เข้ามา คงเลิกงานช้า

ผมจึงลุกจากเตียง เดินไปถามพยาบาลว่า ทางโรงพยาบาลมีอาหารเย็นให้คนป่วยหรือไม่?

พยาบาล บอกว่า “มีเขานำมาแจกให้ตั้งแต่ 5 โมงเย็น” ผมบอกว่า “ทำไมผมจึงไม่ได้”

พยาบาลร้อง “อ้าว หนูก็ไม่ทราบ แล้วลุงไม่มีญาติหรือ?”

ผมบอกว่า “มี แต่เขายังไม่เข้ามา” “หรือว่าผมหลับเขาจึงไม่ให้” ผมพูดต่อ

“ถึงลุงนอนหลับเขาก็ให้” เธอยืนยัน ผมเชื่ออย่างเธอว่า

แต่อาจจะเป็นเพราะว่า ตอนมื้อเที่ยงหลังจากที่ผมกลับมาจากห้องผ่าตัด เขานำอาหารมาแจก แต่ไม่มีช้อนมาให้ด้วย ผมจึงท้วงขึ้นว่า “ไม่มีช้อนแล้วผมจะกินยังไง”

ไอ้เจ้านั่นพูดว่า “ต้องเอามาเองจากบ้าน ที่นี่ไม่มีให้หรอก”

ผมจึงบอกว่า”ถ้างั้นก็เอากลับไปเถอะ”

ผมคิดว่า อาจจะเป็นสาเหตุนี้ก็ได้ ที่(มัน)ไม่ให้อาหารมื้อเย็นกับผม

ลูกชายเข้ามาเกือบ 2ทุ่ม ผมจึงได้กินข้าว

เช้าวันที่ 21 พ.ค.มีเข้าต้มพร้อมช้อนมาให้ผม แต่ผมไม่กล้ากินกลัวโดนยาตาย


นี่แหละครับ ข้าวต้มสำหรับคนเรื่องมากอย่างผม
----------------------------------------------------

ผมยอมลงไปกินกาแฟกับโดนัทที่หน้าตึก พอประทังหิว จนกระทั่งไปพบหมออีกครั้ง แล้วหมอก็อนุญาต ให้กลับบ้านได้

ลูกชายมารับผมประมาณ 11 โมงเช้า ก่อนกลับผมแอบถ่ายรูปหลายรูป และไม่พูดขอบคุณใครสักคน

ภาคแรกยังพอทนได้ จึงได้เล่าให้ฟังแต่เรื่องดีๆ

แต่ มาภาคนี้เหลือทน เพราะเจอแต่ตัวร้ายๆ จึงยำเสียให้เละเลย

ให้รู้มั่งว่า ไผเป็นไผ....

จบบริบูรณ์

---------------------------------------------------------------------

ชำนาญ ผ่าตัดตาใส่ เล็นส์ เทียม

-------------------------------------------------------------------------------------------


*หมายเหตุ เรื่องนี้ ผมบอกบทให้ลูกชายและลูกสะใภ้เขียน พิมพ์ ขัดเกลา พิสูจน์อักษร ส่วนผมบอกบทเป็นผู้กำกับและโพสต์*

ท้าว ความ เมื่อต้นเดือน เมษายน 53 ผมไปโรงพยาบาล วชิระภูเก็ต ให้หมอตรวจสายตา ปรากฏว่า เป็นต้อกระจก ต้องทำการละลาย ต้อกระจก โดยการใช้เครื่องเสียงความถี่สูง และต้องใส่ “เลนส์แก้วตาเทียม” เข้าไปแทนที่ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เป็นโครงการหลวงสำหรับ คนอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่ถ้าต้องการเลนส์พิเศษต้องจ่าย 3,000 บาท

ผมสอบถามรายละเอียดว่า เลนส์ ธรรมดา กับ เลนส์พิเศษ แตกต่างกันอย่างไร ได้รับคำตอบจากคุณหมอว่า เลนส์พิเศษ มีคุณภาพสูงใช้ได้จนตลอดชีวิต ส่วนเลนส์ ธรรมดา อายุการใช้งานประมาณ 20-30ปี ก็จะเสื่อมสภาพ ถ้าคิดๆดูแล้ว สำหรับผมใช้เลนส์ ธรรมดา 30 ปี ก็น่าจะพอ เพราะยังไม่รู้ว่า จะอยู่จนถึงเวลาเลนส์หมดสภาพหรือเปล่า เกรงว่าอายุผม จะหมด สภาพเสียก่อนเลนส์ น่ะไม่ว่า

สรุปว่า ผมตกลงใจ บอกกับคุณหมอว่าผ่าตัด ใส่เลนส์เทียมธรรมดา ก็พอ หมอจึงได้นัดผ่าตัด วันที่ 22 เมษายน 53 และให้ผมมาพบหมอก่อนวันผ่าตัดอีกครั้ง ในวันที่ 21 เมษายน 53 เวลา บ่ายโมงตรง ที่ห้องตรวจเดิม เพื่อจะได้ทำเอกสารส่งตัวเป็นคนไข้ภายใน

จากนั้นเจ้าหน้าที่พยาบาล ก็จัดการนำเอกสารต่างๆ มาให้ผมอ่านรายละเอียด และเซ็นรับรอง ส่วนใหญ่ก็ให้ เซ็น ยินยอม ว่า หลังจาการผ่าตัดแล้ว ถ้าเกิด สายตา เข บอด มองไม่เห็น หรือใช้ได้ไม่ดีเหมือนเดิม ก็จะไม่ฟ้องร้องเอาผิดกับหมอ อะไรประมาณนั้น ผมก็เซ็นยินยอมวัดดวงไป ด้วยความเต็มใจ

แล้วก็กลับไปใช้ชีวิต ต้อนรับประเพณีสงกรานต์ ตามปกติ

21 เมษายน 53

13.00 น.ผมมาโรงพยาบาล ที่ห้องตรวจเดิม พบหมอ และฟังบรรยายสรุปจากเจ้าหน้าที่พยาบาล (ว่าเข้านั่น) รับชีท การปฏิบัติตัว ก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด นำเอกสารไปลงทะเบียนเป็นคนไข้ภายใน ไปรับยาหยอดตา ยานอนหลับ ที่ห้องยา ต่อจากนั้นก็นำทุกอย่างไปรายงานตัวกับพยาบาล ที่ตึกพักฟื้น เมื่อรายงานตัวเสร็จ พยาบาล บอกว่าคืนนี้จะนอนที่นี่ก็ได้ หรือถ้าบ้านอยู่ไม่ไกล จะกลับไปพักที่บ้านก็ได้ แต่หลังผ่าตัดวันพรุ่งนี้ต้องนอนพักฟื้นที่นี่อย่างน้อย หนึ่งคืน ผมบอกว่าขอกลับไปนอนที่บ้าน พยาบาลก็เลยจัดการ ตัดขนตาข้างที่จะผ่าตัด เสียเหี้ยนเต้ หลังจากนั้นจึงบอกว่า พรุ่งนี้ ต้องมาถึงที่นี่อย่างช้า 7 โมงเช้า แล้วจึงปล่อยให้ผมกลับบ้าน เพื่อเตรียมตัวขึ้นเขียง ในวันรุ่งขึ้น

22 เมษายน 2553

07.00น ผมไปถึงโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เช้าวันนี้คนยังไม่มาก

ผมเดินลัดเลาะไปยังตึกศัลยกรรมหญิง อันเป็นที่นัดหมายตั้งแต่เมื่อวาน ขึ้นไปชั้น 2 แล้วตรงไปที่ห้องพยาบาล แจ้งกับเจ้าหน้าที่พยาบาลคนที่ผมรู้สึกว่าเธอมีมนุษยสัมพันธ์และอัธยาศัย ไมตรีที่ดีคนหนึ่ง บอกกับเธอว่ามาผ่าตัดตา

เธอถามชื่อแซ่ ผมเสร็จแล้ว จึงได้ไปเอาชุดสำหรับผู้ป่วย เป็นสีชมพูอ่อนๆให้มา 1 ชุด และบอกให้ผมไปเปลี่ยนในห้องน้ำ

ชุดผู้ป่วยที่นี่ไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ที่ผมเคยเห็น ที่มีเป็นเสื้อและกางเกง แต่ที่นี่เป็นเสื้อและผ้าถุง หลังจากผลัดเปลี่ยนเสร็จแล้ว ทำให้ผมลำบากใจมาก เพราะเวลาจะลุกจะนั่ง บนเตียงผู้ป่วย ต้องระมัดระวังมาก กลัวยิ่งกว่าเลนส์ตาเทียมจะหลุดออกมาเสียอีก

เมื่อผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ออกมาจากห้องน้ำ พบเจ้าหน้าที่พยาบาลคนเดิม มีเรื่องขลุกขลักเล็กน้อย เพราะเธอหาเตียงนอนให้ผมไม่ได้ เข้าใจว่าเตียงผู้ป่วยจะเต็มหมดทั้ง วอร์ด (ward)

มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง โรงพยาบาล โรงพัก โรงศาล ไม่น่าไปเที่ยวสักนิด แต่ละวัน คนเต็มแน่นทุกวัน โดยไม่ต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์

ต่างกับโรงแรม โรงนวด โรงเหล้า โรงเบียร์ ทุ่มเทโฆษณา ประชาสัมพันธ์ เสียแทบเป็น แทบตาย กลับเจ๊งไม่เป็นท่า ท่านผู้ชมเห็นเหมือนผมไหม?

ผมยืนหอบเสื้อผ้าส่วนตัวเป็นไอ้บ้า เก้ๆ กังๆ อยู่สักพักหนึ่ง คุณพยาบาลก็จัดเตียงเสริมให้ผม ซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ

เธอพูดกับผมแบบเกรงใจว่า “ลุงนอนเตียงเสริมหน้าห้องน้ำนะ เพราะเตียงเต็มหมดเลย”

ผมตอบเธอว่า “ได้ไม่เป็นไร” ถึงตอบว่าไม่ได้ก็ต้องนอนตรงนั้นแหละ ขนาดห้องพิเศษที่จองล่วงหน้า ยังไม่มีให้เลย



ซ้ายมือนั่นหละครับเตียงพิเศษที่ผมนอน
-------------------------------------------

ณ เวลานั้น สำหรับผมตรงไหนก็ได้ หน้าห้องน้ำก็มีส่วนดี ที่ทำให้ผมไม่เหงาเพราะมีคนเดินผ่านไป ผ่านมาตลอดเวลา และมีกิจกรรมให้ผมได้สัมผัสตลอดทั้งวัน และตลอดคืนหลังการผ่าตัด โดยไม่ต้องหลับ ไม่ต้องนอน เช่น แอ๊ดๆๆ(เสียงเปิดประตูห้องน้ำ), ปัง.!(เสียงปิดตามหลัง), ซ่าๆๆ(เสียงเปิดน้ำ) ก๊อง, เก้ง, กิ้ง, เพล้ง (เสียงภาชนะต่างๆกระทบกับอ่างล้างหน้า), ปู๊ดๆๆๆ,ป๊าดๆๆๆ,แป๊ดดดด ,โครกๆๆๆๆ(อันนี้เป็นเสียง วงมโหรีปี่พาทย์วงใหญ่)

ยังมีอีก..หน้าห้องน้ำ ริมผนังติดกับเตียงผม ถังขยะแห้ง(ถังสังกะสีเหล็กขาว มีฝาปิดเป็นหน้าจั่ว),ถังใส่ขวดน้ำเปล่า(ถังพลาสติกรองถุงดำไม่มีฝาปิด),ถังใส่กระป๋องน้ำอัดลมเปล่า(ถังพลาสติกรองถุงดำไม่มีฝาปิด), ถังพลาสติกใบใหญ่ สำหรับใส่เสื้อผ้า ชุดผู้ป่วยที่ใช้แล้ว มีฝาปิด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถังขยะเปียก(ถังพลาสติกรองด้วยถุงดำไม่มีฝาปิด) สำหรับใส่กล่องโฟม ข้าวปลาอาหารที่กินแล้ว ถุงพลาสติกใส่แกงจืด แกงเผ็ด ขนมต่างๆ ฯลฯ เวลายิ่งดึกมากไปเรื่อยๆ ผมมีความรู้สึกเหมือนนอน อยู่ในห้องครัวของภัตตาคารชั้นหนึ่งเลยครับ ท่านผู้ชม

ยัง ยังไม่หมดแค่นี้ สำหรับงาน มโหรสพ อันยิ่งใหญ่

พอตกตอนกลางคืน ยังมีเสียงปีชวา จากหนูน้อย อายุไม่ถึงขวบ ผ่าตัดตามาเหมือนกัน(ด้วยสาเหตูอะไรผมไม่ได้หาข้อมูล) แต่เจ้าหนูตัวน้อยนั่น ก็เป่าปี่ชวา ได้ตลอดทั้งคืนเหมือนกัน(ยกเว้นตอนหยุดถอนลมหายใจ)

ท่านผู้ชมครับ ! ขนาดยานอนหลับ ที่พยาบาลบังคับให้ผมกินเมื่อตอน สามทุ่ม ยังทำให้ผมหลับไม่ได้เลย จนผมต้องนั่งทำสมาธิบนเตียงคนไข้นั่นแหละ จึงได้เงียบไปได้สักชั่วโมงเศษๆ

*** กลับมาเดินเรื่องต่อ ประมาณ 08.30น. คุณพยาบาลเรียกชื่อผู้ป่วยที่จะมารับการผ่าตัดตาในวันนี้ให้ออกไปนั่งที่เก้าอี้ ที่จัดไว้ให้เป็นแถวแล้ว ที่หน้าห้องพักพยาบาล วันนี้ มีผู้มาผ่าตัดตาต้อกระจกทั้งหมด 4 ราย เป็นผู้หญิง 3 ผู้ชาย 1

ผมซึ่งเป็นผู้ชายคนเดียว ถูกเรียกเป็นรายซื่อที่ 3 แต่เขาจัดให้ผม นั่งหัวแถวเหมือนหัวหน้าชั้นเรียนเลย เด็กนักเรียนทั้ง 4 คนอายุ 50 ปีขึ้นไป

หลังจากนั้น คุณพยาบาลก็เริ่มบรรยาย แนะนำ ถึงวิธีปฏิบัติตัว ก่อนการผ่าตัดและหลังผ่าตัด ซึ่งมีข้อปลีกย่อยต่างๆมากมาย เช่นก่อนผ่าตัด ต้องปฏิบัติ ตัวดังนี้
----------------------------------------------------------------------------------------

การปฏิบัติตัวก่อนการผ่าตัด

• ฝึกนอนราบ คลุมโปงไม่หนุนหมอนนาน 30 นาทีต่อวัน เพื่อให้เกิดความเคยชินจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดขณะผ่าตัด

• วันก่อนผ่าตัด อาบน้ำสระผมให้สะอาดและไม่ใส่น้ำมันใส่ผม ถ้าทาเล็บไว้ให้ล้างเล็บออก

• เช้าวันผ่าตัดอาบน้ำล้างหน้าให้สะอาด ไม่ควรแต่งหน้าทาปาก สวมเสื้อผ้าที่โรงพยาบาลจัดให้ ไม่ใส่เครื่องประดับ หรือใส่ของมีค่ามาโรงพยาบาล

• รับประทานอาหารเช้าที่เป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าต้ม โอวัลติน นม เป็นต้น

• ยายที่รับประทานประจำให้ใช้ตามปกติ และนมาโรงพยาบาลด้วย เช่น ยาเบาหวาน ยาลดความดันโลหิต ยาอมใต้ลิ้นแก้อาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือยาพ่นแก้หอบหืด

• ยาที่ต้องงดก่อนผ่าตัด 1 สัปดาห์ ได้แก่ ยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน ไอ ต้องแจ้งให้พยาบาลทราบทันที

การปฏิบัติตัวขณะผ่าตัด

• ขณะผ่าตัดควรนอนนิ่งๆ ไม่ส่ายหน้าหรือหันศีรษะ นอนปล่อยตัวตามสบาย ไม่เกร็ง

• ไม่ไอจาม หรือพูดคุย และถ้ามีปัญหาควรบอกให้แพทย์ทราบทันทีเพื่อเอาเครื่องมือออกจากตาก่อน

• บางรายได้ยาระงับความรู้สึกด้วยการหยอดยาชาเฉพาะที่ ควรให้ความร่วมมือด้วยการหลอกตาไปซ้ายหรือขวาตามที่แพทย์บอก

• ถ้ามีอาการเจ็บที่ตา ให้แจ้งแพทย์ทราบทันที เพื่อจะได้เพิ่มยาชาให้

• เครื่องมือผ่าตัดตาจะมีเสียงดัง้ป็นระยะ ไม่ต้องตกใจ

• แพทย์จะใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 20-40 นาที ซึ่งขึ้นอยู่กับความแข็งของต้อกระจก

• เมื่อเสร็จการผ่าตัด พยาบาลจะหยอดตาและปิดตา ข้างที่ทำการผ่าตัดไว้

การปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัด

• อาบน้ำได้ตามปกติ แต่อย่าให้น้ำเข้าตาข้างที่ผ่าตัด บริเวณใบหน้าให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ ไม่อาบฝักบัวหรือลงอาบในแม่น้ำลำคลอง

• ห้ามก้มหน้าสระผม ถ้าจำเป็นให้นอนให้ผู้อื่นสระให้

• การแปรงฟัน ควนแปรงเบาๆ ไม่ส่ายหน้าไปมา และระวังอย่าให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน

• ห้ามไอหรือจามแรงๆ ถ้าจำเป็นต้องไม่ปล่อยเต็มที่

• พักสานตามากๆ เช่นไม่ควรอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์ติดต่อกัน นานกว่าครึ่งชั่วโมง

• หลังผ่าตัด 2 เดือนแรก ห้ามยกของหนักและห้ามทำงานหนักที่จะกระทบกระเทือนถึงตาได้ เช่น ขุดดิน ผ่าฟืน ซักผ้า และงดเดินทางในระยะไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางที่กระทบกระเทือนมากๆ

• ห้ามนอนคว่ำ ก้มหน้า หรือก้มเก็บของ ถ้าจำเป็นต้องก้มเก็บเอง ให้นั่งลงเก็บ

• ระวังอย่าให้ท้องผูก เพราะการเบ่งถ่ายอุจจาระอาจทำให้เลือดออกในตาได้

• รับประทานอาหารได้ทุกชนิด แต่ควรเป็นอาหารอ่อนนิ่ม เคี้ยวง่าย ควรงดเว้นอาหารที่ใส่เครื่องเทศหรือรสจัด เพราะอาจทำให้ไอหรือจามได้

• ปิดตาด้วยฝาครอบตลอดระยะเวลา 1 อาทิตย์แรก หลังจากนั้นอาจใส่แว่นกันแดดในเวลากลางวันและปิดด้วยฝาครอบทุกครั้งก่อนเข้านอน เพื่อป้องกันอันตรายต่อตาข้างที่ผ่าตัด

• ทำความสะอาดฝาครอบตาทุกวันโดยการล้างสบู่หรือผงซักฟอก แล้วเช็ดให้แห้งก่อนนำมาใช้

• ห้ามขยี้ตาหรือใช้ผ้าทุกชนิดเช็ดตา

• ยาหยอดตาที่แพทย์ให้ไป ควรหยอดเฉพาะตาข้างที่ทำการผ่าตัดเท่านั้น ห้ามนำไปใช้กับผู้อื่น ก่อนหยอดตาต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ดึงเปลือกตาล่างลงแล้วหยดยาลง 1-2 หยด โดยให้ปากขวดยาอยู่ห่างจากตา 1-2 ซม. หากมียาป้ายก็ให้ใช้วิธีการเดียวกัน ห้ามซื้อยาใช้เอง

• หากมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น ให้ไปพบแพทย์เจ้าของไข้ได้ก่อนถึงวันนัด

*ด้วยความปรารถนาดีจาก กลุ่มงานจักษุวิทยา โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต*
---------------------------------------------------------------------------------------


เมื่อเสร็จสิ้นจากการอธิบาย

คุณพยาบาลถามผมว่า “ลุง ต้อกระจกเกิดจากอะไรคะ?”

ผมตอบว่า “เกิดจากสายตาโดนแสงมาก”

คุณพยาบาลบอกว่า “ถูก แต่ลุงตอบถูกนิดเดียว” บ๊ะ !มีตอบถูกนิดเดียวด้วย ผมแค่คิด

แล้วหันไปถามผู้ป่วยอีกคนหนึ่งด้วยคำถามเดียวกัน ที่เป็นสาวน้อยกว่าผม

ผู้ป่วยสาวน้อยคนนั้นตอบว่า “เกิดจากอายุมากจ๊ะ”

คุณพยาบาลบอกว่า “ถูกต้อง คุณป้าเก่งจังเลย” สาวน้อยเขิน จนหน้าเขียว

ความจริงแล้วผมไม่ได้โง่หรอกนะ แต่ผมไม่ยอมรับว่าแก่เท่านั้นเอง ฮิ ฮิ

หลังจากการ บรีฟ เสร็จเรียบร้อย ก็มีการผูกป้ายข้อมือ ระบุชื่อ นามสกุล และตึกที่พักฟื้น คงจะเป็นการยืนยันว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้อยู่ห้องดับจิต..? หรืออะไรประมาณนั้น

หลังจากนั้นก็มีการเอาปากกาเมจิก มาทำเครื่องหมายตรงขอบตาข้างที่จะทำการผ่าตัด เพื่อระบุให้แน่ชัดเวลาเข้าห้องผ่าตัด คุณหมอจะได้ผ่าไม่ผิดข้าง ถ้าไม่ทำเช่นนั้นคุณหมออาจเข้าใจผิดไปผ่าเอาตาข้างที่ยังดี ประเดี๋ยวก็ได้เป็นเรื่องเป็นราวกันใหญ่โตอีก

ขั้นตอนถัดมา เป็นการหยอดยาขยายม่านตา คนละ 8 ครั้งห่างกันครั้งละ 5 นาที เมื่อครบถ้วน เสร็จสิ้นกระบวนการก็ปาเข้าไปประมาณ 10 โมงเช้า หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เข็นรถ วีลแชร์ มารับผู้ป่วยรายแรกไปห้องผ่าตัด

ส่วนผม นั่งรอ นอนรออยู่ที่เตียงจนกระทั่งเวลา 11 โมงเศษ เจ้าหน้าที่พยาบาลก็เรียกชื่อให้ไปขึ้นรถ vip (วีลแชร์) เพื่อเดินทางไปยังห้องผ่าตัด (ซึ่งผมแน่ใจว่าเป็นคนสุดท้ายของวันนี้)

ขณะที่อยู่ใน ลิฟท์ เพื่อลงไปชั้นล่าง ผมถามคนเข็นรถ วีลแชร์ ว่า “ ผมเป็นคนที่เท่าไหร่?”ความหมายของผม หมายความว่าคนไข้ผ่าตัดตาวันนี้ ผมเป็นคนที่เท่าไร?

คนขับรถ วีลแชร์ ให้ผม แกตอบผมว่า “จำไม่ได้ แล้วลุง วันนี้ ผมเข็นเกือบร้อยแล้ว !!” แปลว่า ตั้งแต่เช้ามา แกเข็นคนไข้ต่างๆ จากตึกต่างๆ จนจำไม่ได้ ว่ากี่คน?

เจ้ากรรม แกตอบคนละเรื่องเดียวกัน แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ยะ ว่าผมเป็นคนที่เท่าไร? ไม่รู้ว่าแกเข้าใจคำถามผิด หรือว่าผมถามแบบโง่ๆกันแน่.?

แกพา ผมไปถึงห้องผ่าตัดประมาน 11 โมงครึ่ง เจ้าหน้าที่บอกให้ผมขึ้นไปนอนบนเตียงที่เข็นไปวางไว้หน้าห้องผ่าตัด ให้ผมนอนอยู่เฉยๆนิ่งๆ รอคิว ขี้นเขียง เชือด.!

ผมนอนฟัง พยาบาล และ เจ้าหน้าที่ผู้ช่วย คุยกันถึง “ละครหลังข่าว”บ้าง บางคนกำลังโทรไปซื้อ“หวยหุ้น”บ้าง บางคนกำลังโทร ปรึกษาหารือกับเพื่อนเรื่อง “เปียแชร์” ว่าเปียงวดต่อไป ดอกเบี้ย ควรจะเป็นเท่าไหร่ดี? บางคนกำลังตรวจเอกสารและร้องเพลงไปด้วยความสบายใจ แต่มีอยู่ สองคน ที่คุยกันเรื่อง “กิ๊ก” ด้วยความ เคร่งเครียด.!

แต่ที่ผมกังขามากๆ คือไม่ได้ยิน ใครคุยกันถึงเรื่อง “เสื้อแดง” ฟัดกับ “เสื้อหลากสี”เลย

ประมาณครึ่งชั่วโมง ที่ผมนอนฟังเรื่องราวต่างๆ อยู่ด้วยความเพลิดเพลิน ระยะเวลานั้น มีคนผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากันมา ถามชื่อและนามสกุลผม ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง จนครั้งสุดท้ายถามชื่อนามสกุลเสร็จ ก็เข็นผมเข้าไปที่ห้อง โรโบคอป ที่มีแขนขาเป็นเหล็กและสายระโยงระยางเต็มไปหมด แล้วบอกให้ผมขยับลุกไปนอนที่เตียงอีกเตียงหนึ่ง ซึ่งอยู่ใต้แขนเหล็กนั้น ต่อจากนั้นก็ลงมือปฏิบัติการมัดมือ มัดขาผมอย่างแน่นหนา เหมือนกลัวว่าผมจะลุกขึ้นกระโดดหนี เสียก่อน (มันก็น่าลุกขึ้นวิ่งหนีจริงๆ) เสร็จแล้วแกก็ออกไปจากห้องปล่อยให้ผมนอน เหลืบตาดูโน่นที ดูนี่ที ด้วยความขนพองสยองเกล้า นึกในใจว่านี่ถ้าไฟฟ้าดับ ตูจะทำยังไงว่ะ?

จริงๆแล้วในห้องนั้นยังมีผู้หญิงอีก 2 คน คนหนึ่งใส่เสื้อกาวสีเขียว ผมเข้าใจเอาเองว่าน่าจะเป็นคุณหมอมือเชือด กับอีกคนใส่เสื้อกาวสีชมพู น่าจะเป็นผู้ช่วยหมอ สองคนนั่นไม่ได้ มาสนใจ ทักทายผมเลยได้ยินแต่เสียงคุยกัน กะหนุง กะหนิง จุกจิกๆ เบาๆ ผมจับใจความไม่ได้ และเสียงเครื่องมือผ่าตัดกระทบกัน ก๊อกๆ แก๊กๆ ฟังดูสยดสยอง ไม่เบา

ผมนอนหายใจ แขม่วๆ สักประมาณ 5 นาที คนหนึ่งเดินมาบอกให้ผมยกหัวขึ้นนิดหน่อย แล้วเอาอะไรสักอย่าง คล้ายๆหมวกอาบน้ำของผู้หญิงมาครอบหัวให้ผม แล้วจัดการล้างตาข้างที่จะผ่าตัด นัยว่าเป็นยาฆ่าเชื้อ

ต่อจากนั้นก็เอาผ้าปิดตาข้างที่ไม่ได้ผ่าตัดและปิดจมูก ปิดปาก มิดชิด พอหายใจได้ไม่ถึงกับอึดอัด โผล่แต่ตาข้างที่จะผ่าตัด

ผมเริ่มกำหนดลมหายใจ พุทธ-โธ ๆ เพื่อปลงสังขารและผ่อนคลายประสาททุกส่วน พร้อมที่จะถูกเชือด

และแล้ว.. วินาทีสำคัญก็มาถึง เมื่อคุณหมอ บอกให้ผมลืมตาสู้แสงไฟที่ส่องลงมาตรงๆ จากกล้องเล็กๆ คล้ายๆกล้องจุลทรรศน์ และเริ่มหยอดยาชาให้ผมจนรู้สึกแสบ ต่อจากนั้น ก็เอาเครื่องมือบางอย่างมาถ่างที่ตา ไม่ให้ผมกระพริบตาได้ จนผมมองเห็นแค่แสง ขาวๆ แดงๆ เหลืองๆ ส้มๆ และเริ่ม ได้ยินเสียงความถี่สูงมากๆ ของเครื่องมือผ่าตัด พร้อมกับรู้สึกมีเงา ลางๆ เลือนๆ ผ่าน แว้บไป แว้บมา ตรงลูกนัยน์ตาของผม

จนในที่สุด ได้ยินเสียงคุณหมอบอกผมว่า “มองตรงๆที่แสงไฟ นะ หมอจะใส่เลนส์ให้แล้ว” จากนั้น ตาผมสัมผัสเห็น แผ่นสีเขียว ค่อยๆเลื่อนเข้ามาบังแสง ขาวจ้าที่ตรงโฟกัส ของนัยน์ตา มีการขยับ ซ้าย ขวา บน ล่าง จนในที่สุด ก็เข้าที่ แผ่นสีเขียวนั้น ทาบทับอยู่ในตำแหน่ง บดบังแสงสีขาวมิดสนิทพอดี เหมือนกับเงาของโลกบังดวงจันทร์ เต็มดวงในคืนจันทรุปราคา ฉันท์ใดฉันท์นั้น

อึดใจหลังจากนั้น ได้ยินเสียงคุณหมอพูดว่า “เสร็จแล้วค่ะ” พร้อมๆกับ เรื้อทุกอย่างที่อยู่บนหน้าผม ออกไป แล้วปิดตาให้ผมกับ ผ้าก๊อต และฝาครอบตาอีกชั้น เฮ้อ..โล่งอก.!

อีกอึดใจใหญ่ ก็มีคนมาแก้พันธนาการผมออก แล้วบอกให้ผมขยับ ไปนอนอีกเตียง จากนั้นก็เข็นผมออกไปจากห้องผ่าตัด มาทิ้งไว้ที่หน้าห้องอีกครู่ใหญ่ จึงได้เปลี่ยนมานั่ง วีลแชร์ vip กลับมาที่ตึกพักฟื้น เมื่อเวลาบ่ายโมงเศษ รวมเวลาปฏิบัติการเชือด ร่วม 2 ชั่วโมง

ผมนอนๆ นั่งๆ ฟังเสียง มโหรสพ ต่างๆ อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ จนหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นอีกที ร้อนจนเหงื่อท่วมตัว

ผมบอกคนทำความสะอาดว่า “ร้อนจังเลย ช่วยเปิดพัดลมได้หรือเปล่า?” แกเฉย

ผมจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปที่ห้องพักพยาบาล ผมบอกว่า ขอนั่งตากแอร์หน่อยเถอะ ข้างนอกมันร้อนเหลือเกิน พยาบาลร้อง “อ้อ..ช่างเขาถอดพัดลมไปทำความสะอาด ประเดี๋ยวก็เสร็จ” ผมจึงได้ถึงบางอ้อ

จนเกือบค่ำ ลูกชาย ลูกสะใภ้ หลานสาว หลานเขย เข้ามาเยี่ยม (งานนี้ผมปิดข่าวเงียบไม่ให้พรรคพวกรู้แม้แต่คนเดียวเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย และไม่อยากเป็นข่าว ว่างั้นเถอะ) ช่วงนี้แหละ ผมนั่งบอกให้ลูกชาย ช่วยเขียนบันทึกเรื่องนี้ ไว้เป็นต้นฉบับก่อน แล้วให้ลูกสะใภ้ กลับไปพิมพ์ไว้ใน คอมฯ ผมจะขัดเกลาอีกที แล้วก็โพสต์ (ตอนนี้ผมมีผู้ช่วยเยอะ)

เกือบ สามทุ่ม เจ้าหน้าที่ แจ้งให้ทราบว่า หมดเวลาเยี่ยม ขอให้ญาติกลับไปได้ เหลือคนเฝ้าไข้ได้คนเดียว ลูกชายผม จะขอนอนเฝ้า ผมบอกไม่ต้องมาแย่งผมดูมโหรสพ ไล่ให้กลับไปหมดทุกคน

แล้วคืนนั้น ผมก็สนุกสนานกับสิ่งต่างๆ ที่เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้น จนผ่านไปได้หนึ่งคืน.

23 เมษายน 2553

06.00 น. ผมเกร่ ไปหาคุณพยาบาลเวร ขอร้องให้เปิด ทีวี ที่หน้าห้องพักผู้มาเยี่ยมคนป่วย เพื่อติดตามข่าว การประท้วง คุณพยาบาล แว้ดดด ใส่ผมทันที “ดูไม่ได้ ลุงไม่ได้อ่านข้อห้ามรึ ตาของลุงจะบอดเอาน่ะ” “ขอฟังเสียงก็พอครับ” ผมต่อรอง “ก็ได้ แค่ฟังเสียงนะ” “ครับๆๆๆ” ผมรีบรับปาก

เธอเปิด ทีวี พร้อมกับพูดต่อว่า “นี่ดีนะ ที่เป็นหนู ถ้าเป็นเวรพวกร้ายๆ ลุงไม่ได้ดูหรอก” อ้อ..ยังมีพวกร้ายๆด้วย ผมแค่คิดในใจ!

แล้วผมก็ได้ฟังข่าว และแอบดูภาพด้วยตาข้างเดียวเป็นครั้งคราว จากช่อง 3 จ้างให้เธอก็ไม่รู้ ว่าผมแอบดู หึ หึ

07.00น. ได้รับแจกข้าวต้ม

หลังจากนั้น พยาบาลเริ่มเรียกชื่อ คนป่วยผ่าตัดตาอีกครั้ง เพื่อนำไปห้องตรวจ ให้หมอที่ผ่าตัด ตรวจประเมินผลอีกครั้ง ว่าใครกลับบ้านได้ หรือไม่ได้

ผมเป็นคนสุดท้ายอีกเช่นเคย 10.00 น. เขาเข็น ผมไปตั้งไว้ที่ หน้าห้องตรวจ ที่มีคนนั่งรอตรวจอยู่เกือบ 100 คนโดยไม่มีใครบอกอะไรผมเลย เกือบชั่วโมง ผมเลยตัดสินใจเดินกลับไป ที่ตึกพักผู้ป่วยอีกครั้ง

ผมกลับมาถึงไม่เกินสิบนาที ได้ยินเสียงพยาบาล เรียกผมด้วยเสียงตื่นเต้น ตกใจ และโมโห นิดๆ “ลุงชำนาญ รีบกลับไปห้องตรวจเร็ว เขาหากันใหญ่แล้ว” ผมเดิน ยิ้มๆ ไปนั่ง วีลแชร์ ที่รออยู่แล้ว “ไม่ให้หมอตรวจก่อน ประเดี๋ยวไม่ได้กลับบ้านนะ”เธอบ่นตามหลังผม ข้อนั้นผมรู้อยู่แล้ว แต่ผมมีจุดประสงค์อย่างอื่น…

เมื่อไปถึงห้องตรวจ คนที่นั่งรอตรวจอยู่เกือบ 100 คน มองผมเป็นตาเดียว ผมทำหน้าตาย เจ้าหน้าที่ รีบพาผมเข้าไปหาหมอ ด้านใน เห็นนักเรียนชั้นเดียวกับผม ยังนั่งอยู่ทั้งสามคน หมอรีบเรียกให้ผม เข้าไปนั่งที่ ตรวจสายตา เสร็จเรียบร้อย เขียนใบสั่งยา และใบนัดให้มาตรวจ อาทิตย์ถัดไป “คุณชำนาญ กลับบ้านได้ค่ะ” หมอพูด ผมกล่าวขอบคุณ

แล้วเดินออกมากับเจ้าหน้าที่ ผ่านสามคน ที่มองผมจาก ตาสามข้าง รวมเป็นเดียว อย่าง งงๆพยาบาลรีบเรียก วีลแชร์ ให้ผม (คงกลัวว่าผมจะโดนรุมกระทืบจากการลัดคิว) ปรากฏว่ามีคนจองแล้ว เจ้าหน้าที่พยาบาล เลยแว้ดดด ให้ว่า “รถมีเยอะแยะ เลือกเอาคันอื่น คันนี้ให้คุณชำนาญ ก่อน” เออ.. รถ วีลแชร์ ก็มีการจองด้วยนะ จะบอกให้

เมื่อผมกลับมาถึงตึก พยาบาลคนที่เปิด ทีวี ให้ผมดูเมื่อเช้า พูดขึ้นว่า

“ลุงนี่ร้ายจริงๆ” ผมถามยิ้มๆกลับไปว่า “ร้ายยังไง?” “ดูสิคนที่ไปก่อนลุงทั้งสามคน ยังไม่ได้กลับมาเลย” ผมได้แต่พูดว่า เหรอ แล้วหัวเราะ หึ หึ

กลับมาที่เตียง รอรับยา และ รอลูกชายมารับกลับบ้าน

ก่อนกลับ ผมบอกขอบคุณ เจ้าหน้าที่พยาบาลทุกคน ที่ดูแลเอาใจใส่ผมเป็นอย่างดี เพราะเข้าใจว่า ผมเป็นผู้ป่วย ไม่มีญาติ และพวกเขาดีจริงๆ (ยกเว้นบางคนซึ่งก็ช่างหล่อนเถอะ)

ชำนาญ ณ.อันดามัน ขอขอบคุณทุกคน ด้วยความจริงใจ มา ณโอกาสนี้อีกครั้ง

25 เมษายน 2553
--------------------------------------------------------------------------------------------

ชำนาญ ณ.อันดามัน ย้ายวิก



--------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีครับ..!

ยินดีต้อนรับ พ่อแม่ พี่น้อง มิตรรักนักชม เพื่อนพ้อง พรรคพวก ทั้งแฟนเก่า และแฟนใหม่ ทุกๆท่าน
ทุกผู้ ทุกนาม ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ยกเว้นแม้กระทั่ง สมณะ ชี พราห์ม(ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่า)

ชำนาญ ณ.อันดามัน มีเหตุผลหลายประการ ที่ต้องย้ายวิก มาทำการแสดงที่นี่

แต่.. เหตุผลสำคัญ ที่พอบอกได้ คือ ผม,ข้าพเจ้า,อาตมา,ไม่สามารถเรียนรู้และบริหารจัดการกับระบบของที่เก่าได้ ตามศักยภาพที่เขามี มันยากเกินไปสำหรับผม ทั้งๆที่ผมพยายามแล้ว ศึกษามากแล้ว และได้รับคำชี้แนะ จากผู้รู้ก็มากมาย แต่มันก็ยังซับซ้อนเหลือเกิน ผมอาจจะโง่เกินไปก็ได้ สำหรับที่นั่น

สุดท้าย ผมจึงต้องจำใจจากมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ทั้งที่ยังรัก หวงแหน และ เสียดายหลายสิ่งที่ผมสร้างเอาใว้

สำหรับที่นี่ อบอุ่นเสมอสำหรับผม อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นรักแรกของผมก็ได้ เธอเข้าใจความต้องการของผมเสมอ

ยังไงก็แล้วแต่ ชำนาญ ณ.อันดามัน ยังรักและยินดีต้อนรับทุกคนเสมอไม่เสื่อมคลาย

แล้วพบกันน่ะครับ

สวัสดี

29 พฤษภาคม 2553
------------------------------------------------------------------------------------------------------------