ไปบ้านชาง ซาไก จ.ขอนแก่น

เล่าเรื่องไปบ้าน "ชาง ซาไก" อ.ชนบท จ.ขอนแก่น

ผมหาย หน้า หายตาไปหลายวันครับ ไม่ได้เจ็บไข้ ได้ป่วย อะไรหรอก แต่ชีพจรลงเท้าครับ

สาเหตุ เนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 7 ม.ค.53 คุณพ่อของผม ป่วยกะทันหัน เข้ารับการรักษาตัวที่ โรงพยาบาล มหาราช นครศรีธรรมราช ผมจึงต้องตีด่วน เข้าเมืองคอนฯ แต่ก็ยังช้ากว่าพวก น้องๆของผมที่อยู่กันไกลๆ ทั้ง 4 ทิศ ส่วนผมอยู่แค่ภูเก็ต ใกล้ที่สุด แต่มาถึงหลังกว่าใครเขาหมด ให้มันได้ยังงี้ สิ พี่คนโต

หลังจากที่ คุณพ่อ อาการดีขึ้น หมอให้กลับไปพักฟื้น ที่บ้าน น้องๆ ของผมต่างก็แยกย้ายกันกลับ บ้านใคร บ้านมัน เพื่อไปทำงาน ทำการ กัน ตามภาระ หน้าที่

ส่วนผม นาย ชำนาญ ณ.อันดามัน ผู้ที่ไม่มี งานการ เป็นชิ้นเป็นอัน ถูกเจ้าน้องชาย คนที่ 3 ชื่อ ชาง ซาไก (ชื่อจริง นพพร ชูสุวรรณ) ขอเชิญ แกมบังคับ ให้ไปบ้านเขาที่ จังหวัดขอนแก่น ด้วย นัยว่า ให้ไปช่วยดู การสร้าง ห้องบันทึกเสียง หรือ สตูดิโอ ที่ตั้งใจลงทุนสร้างเป็นของตัวเองเสียที หลังจากที่ ยืมจมูกคนอื่นเขาหาใจ มาหลายปี

ชาง ซาไก กำลังแต่งเพลงให้ สีเผือก ด่านเกวียน
----------------------------------------------------

อันว่าเจ้า ชาง ซาไก นั้นเป็น นามปากกา ที่ใช้ทำมาหากิน เป็นอาชีพ โปรดิวเซอร์ ประเภท แต่งเพลง ทำนองเพลง แต่งเสียงดนตรี อะไร ประมาณนี้ ให้กับนักร้องดังๆ เช่น หนู มิเตอร์, หลวงไก่,บ่าววี. ป๋อง ณ.ปะเหลียน, อ้อย กะท้อน,บิว กัลยาณี ฯลฯ และอีกหลายๆ คน ในสังกัดค่ายเพลง ใหญ่ๆ อย่าง อาร์.สยาม,รถไฟ ดนตรี ฯฯฯ เอ๊ะ..! นี่ คุยมาก จนเว่อร์ แล้วน่ะ, เออ..ยูเทิร์นกลับ ก็ได้

เจ้า ชาง ซาไก เป็นเขย อีสาน บ้าน ขอนแก่น หลายปีแล้วครับ ( ตอนแต่งงานผูกข้อมือ ผมเป็นพ่อใหญ่ ฝ่ายเจ้าบ่าวด้วย โก้ซ่ะไม่มีหล่ะ) จึงได้ไปลงเสาหลัก ปักลงฐาน สร้างบ้านช่อง ห้องหอ อยู่ใกล้บ้าน พ่อตา ที่ อ.ชนบท (ขออภัยทุกท่าน ผมได้ยินครั้งแรกไม่เชื่อว่าใน ประเทศไทย มีชื่อบ้านนอก แบบนี้จริงๆ) ใกล้ๆ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น นั่นแหล่ว…เด้อ..หมู่เฮ้า..

เป็นอันว่า “เรา” หมายถึง เจ้า ชาง, เมียของเขา, ลูกสาวอายุ 2 ขวบเศษ ของเขา, และ ผม รวมเป็น 4 ชีวิต ออกเดินทางจาก บ้านพ่อ นครศรีฯ ประมาณเวลา 08:30 เช้า ของวันที่ 12 ม.ค. 2553 จุดหมายแรก คือ จ.ลพบุรี ที่เจ้า ชาง บอกว่า มีนัดสำคัญ ในวันรุ่งขึ้น

ผมกับเจ้า ชาง ผลัดเปลี่ยนกัน ขับ (รถของเจ้า ชาง ครับ) ถึง จ.ลพบุรี ประมาณ 4 ทุ่ม ของคืนวันนั้น ใช้เวลาเดินทาง 13 ชั่วโมงเศษ นับว่าค่อนข้างเร็ว เหมือนกัน เจ้าชาง พาเข้า ที่พักประจำ ของเขา เป็นโรงแรมเล็กๆ เงียบ แต่มีคลาส แถวชานเมือง แต่ไม่ห่างจาก ตัวเมือง ลพบุรี มากนัก และไม่ไกลจากที่นัดหมาย ในวันรุ่งขึ้น

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันที่ 13 ม.ค.53

ตอนสายๆ เจ้าชาง ทิ้งลูกกับเมียใว้ที่ โรงแรม แล้วพาผมไปที่ นัดหมาย คือห้องบันทึกเสียง หรือ สตูดิโอ ของ ป๋อง อัครินทร์ (ซึ่งรู้จัก คุ้นเคย กับผมเป็นอย่างดี มาก่อน ) เพื่อ บันทึกเพลงเป็น “ไกด์ไลน์” หลายคน อาจจะงงๆ ว่ามันคือ อะไร แล้วผมจะเล่า ให้อ่าน ติดตามต่อไป ครับ

สำหรับ ป๋อง อัครินทร์ เป็นคนสำคัญมากๆ อีกคน ในวงการ เพลง ลูกทุ่งเพื่อชีวิต ของไทยในยุคนี้ เขา อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จ ของนักร้องดังๆ หลายคนเหมือนกัน โดย เฉพาะกับ บ่าววี ที่มีอาชีพ เป็นทหาร อากาศ อยู่ที่ จ.ลพบุรี แต่มีใจรักการเป็นนักร้อง ได้ ป๋อง อัครินทร์ คนนี้แหละ ทั้งผลัก ทั้งดัน จนโด่งดัง

ป๋อง อัครินทร์
-----------------------------------------------------

เรามาถึงบ้าน เจ้า ป๋อง เกือบเที่ยง ปรากฎว่า เจ้า ป๋อง ยังไม่ตื่น ฟังแม่ยาย บอกว่า กลับมาจากกรุงเทพฯ ตี 3 แล้วเหมือนกัน เราจึงต้องแกร่วรอ จนกระทั่ง บ่ายโมงเศษ จึงได้เข้า สตูดิโอ เพื่อลงมือ ทำ”ไกด์ไลน์” ให้กับนักร้องคนใหม่ ซึ่งตอนนี้ ยังรับจ้างเล่น ดนตรีในร้านอาหาร อยู่ที่ ภูเก็ต โน่น แต่มีใจรัก และอยากดัง เหมือนคนอื่นๆ และถ้าไม่มีการขัดข้องทาง เทคนิค ใดๆ คงจะได้ฟัง ผลงานกัน ในอีกไม่นาน

ช่วงที่ทั้งสองคน เขาสุมหัวกัน “ทำเพลง” อยู่นั้น ผมนั่งๆ นอนๆ อยู่ใน สตูดิโอ เก็บข้อมูลและคิดพล๊อตเรื่อง เพื่อจะเขียนเล่าให้ พรรคพวก พี่น้อง ได้อ่านใว้ประดับความรู้ ถึง วิธีการและขั้นตอน การทำงานของ “โปรดิวเซอร์” เท่าที่ สติปัญญา แค่หางอึ่ง ของผม พอจะถ่ายทอดได้ ท่านๆ อ่านแล้ว รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ก็ต้อง ขออภัยน่ะครับ

เก็บภาพ เป็นที่ ระลึก กับมือ โปรฯ
------------------------------------------------------
ขั้นตอน การ “ทำเพลง” ของ “โปรดิวเซอร์”

ขั้นตอนแรก ผู้ประพันธ์ หรือ ผู้แต่งเพลง ทำการแต่งเนี้อร้อง และทำนองเพลง ให้เหมาะสมกับยุคสมัย หรือ ตามที่ตลาดต้องการ และต้องให้เข้ากับ คาเร็คเตอร์ ของนักร้องด้วย ไม่ใช่ว่า แต่งเนื้อร้อง ทำนองเป็นเพลงสตริง ให้นักร้องเพลงเพื่อชีวิต เอาไปร้อง ก็จอดไม่ต้อง เกิดสิครับ

ต่อจากนั้น ก็นำไปเข้าห้อง บันทึกเสียง หรือ สตูดิโอ เพื่อร้องเป็น “ไกด์ไลน์” พร้อมทั้ง บันทึกเสียงเครื่องดนตรี แต่ล่ะชิ้นลงไปด้วย ขั้นตอนนี้ จะใช้ ความสามารถ มหัศจรรย์ ของคอมพิวเตอร์ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เสียงกลอง,กีต้าร์,เบส,ออร์แกน,เครื่องเป่า,ระนาด,ฉิ่ง,ฉาบ ฯลฯ และสาระพัดเสียงที่มีอยู่ในโลกนี้ ใส่เข้าไป ไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ตรงใหน ท่อนใหน ลบทิ้ง จัดการ ใส่เข้าไปใหม่ จนแน่ใจว่า ไพเราะ เพราะพริ้ง สะดิ้งแด้ว แล้วนั่นแหละ จึงจะทำการ บันทึกใว้ ที่พวกเขาเรียกกันสั้นๆว่า “เดโม” หรือ “เดโมวิชั่น”

ขั้นตอนต่อไป เป็นหน้าที่ของนักร้อง จะต้องหัดร้องตาม “เดโมฯ” ที่ “โปรดิวเซอร์” ทำไว้แล้วนั้น

ให้ได้จังหวะ,ทำนอง,น้ำเสียง,และลูกคอ ให้ได้”ฟีลล์” ตามที่ “โปรดิวเซอร์”กำหนดมา มันเป็นขั้นตอนที่ไม่ง่ายเลย แต่ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ เท่ากับว่าประสพความสำเร็จไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์

สำหรับนักร้อง ที่มีความสามารถมาก พรสวรรค์สูงๆ เพลงก็ออกมาดี ฮิตติดตลาด ดังระเบิดเถิดเทิง ภายในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนนักร้องที่ไม่ค่อยได้เรื่อง ทั้งๆที่ เนื้อหาของเพลงดี ทำนองดี ดนตรีดี แต่พอวางแผงจำหน่าย กลับขายไม่ออก ทั้งๆที่ทุ่มเงิน อัดโปรโมทต์ โฆษณา เต็มที่ แต่ก็ยังไม่ได้เกิด แบบนี้จะไปโทษดวงอย่างเดียว ก็ไม่ได้ จริงใหม ท่านผู้ชม ?..

ขั้นตอนต่อไป (ตอนที่เท่าไหร่ช่างมันเถอะไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์) เมื่อนักร้อง ร้องได้ถูกต้อง ตามที่ “โปรดิวเซอร์” กำหนดและเป็นที่พอใจแล้ว จัดการส่งเข้าโรงงาน ปั๊มเป็น ซีดี ออกขาย..!?.ยัง…ยังครับท่านผู้ชม จะขายได้ยังไง ในเมื่อ เสียงกลอง,เสียงเครื่องดนตรี ทุกชิ้น ยังเป็นเสียงจาก คอมพิวเตอร์ อยู่เลย ปั๊มออกไปขาย มันก็กลายเป็น “คาราโอเกะ มิดี้” ไปเท่านั้น, เออ..แล้วเขาทำยังไงต่อไป บอกมาเร็วๆ เขียนยืดเยื้อ อยู่ได้ ประเดี๋ยว พัด…..ซ่ะนี่ .! ใจเย็นๆ พี่น้อง ติดตามอ่านต่อไป.

———————————

การจะทำเพลง ไม่ให้เป็นคาราโอเกะ มิดี้มันก็ต้องมีเสียง เครื่องดนตรี เล่นกันสดๆ อัดลงไป

เมื่อสมัยก่อน “โปรดิวเซอร์” จะต้องหอบหิ้ว “เดโมฯ” พร้อมกับนักร้อง ไปตามห้องอัดเสียงใหญ่ๆ ที่มีเครื่องดนตรี หลากหลาย มีนักดนตรี มืออาชีพ ชุมนุมอยู่ เพื่อจะได้ร้อง และเล่น กันสดๆ แล้วจัดการบันทึก เพื่อจะได้ทำแผ่น มาสเตอร์ ต่อไป แต่มันเป็นเรื่อง ยุ่งยาก ปัญหามาก เสียค่าใช้จ่ายมาก สมมุติ ว่า วันนัดบันทึกเสียง บังเอิญ มือกลอง ท้องเสียกะทันหัน ไม่มีแรงตีกลองขึ้นมา ก็เป็นอันว่า วันนั้น จบเห่ อัดไม่ได้ เสียเวลาเปล่า

แต่สมัยนี้ เทคโนโลยี ก้าวหน้า ไม่ต้องรอ ให้นักดนตรี พร้อมหน้าก็ได้ “โปรดิวเซอร์” เอาแผ่น “เดโมฯ” ใส่กระเป๋า นัดมือกลอง ไปเจอกันที่ สตูดิโอ อัดเสียงกลองอย่างเดียวก่อน เสร็จเรียบร้อยค่อยนัด นักดนตรีคนอื่นๆ ตามความสะดวก หรือ บางเพลง ที่มีเสียง ปี่ชวา “โปรดิวเซอร์” ก็เหน็บ “เดโมฯ” ไปหา มือปี่ ชวา ที่ นครศรีฯ จัดการเป่า อี้แอ่..อี้แอ่..บันทึกกันที่ เมืองคอนฯ โน่น ทำแบบนี้ พวกเขาเรียกกันว่า “บันทึกไลน์” ถ้าฟังแล้ว “ไม่โดน” ก็สามารถ ดัดแปลง แก้ไข บันทึกทับ ลงไปใหม่ได้ เหมือนการเขียน “บล็อก”นั่นแหละ ท่านผู้ชม

ต่อไป ก็เป็นการ แก้เพี้ยน ( Edit ) หมายถึง ฟังเสียงร้องแล้ว ยังไม่เข้ารูป เข้ารอย ในบางตอน ก็ให้นักร้อง ร้องทับลงไปใหม่ จนเป็นที่ ถูกต้อง พอใจ

แก้เพี้ยน เสร็จ ก็ต้องปรับแต่ง ผสมเสียง ( Mix down ) ให้เสียงร้อง กับเสียง ดนตรี ผสม กลมกลืนกัน ซึ่งต้องใช้ ประสพการณ์ และความชำนาญ อย่างมากเช่นกัน

เอาหล่ะ ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เปิดฟังแล้ว เป็นที่พอใจอย่างมาก ถ้าวางแผงเมื่อไหร่ “โดน” ใจผู้ฟัง ดังทันที, ต่อไป เป็นขั้นตอน สุดท้าย

ขั้นตอนสุดท้าย เป็นขั้นตอน ที่น่ากลัวมาก คือการทำแผ่น มาสเตอร์ (Mastering) เสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ พวก ผีผี พร้อมจะออก อาละวาด Copy เป็นแผ่นผี ขาย 3 แผ่น 100 ได้ทันที น่ากลัวจริงๆ

เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ส่งเข้าโรงงาน ปั๊ม เป็นแผ่น ซีดี จัดการ ทำปก ยัดใส่กล่อง แต่..ชาวบ้าน ก็ยังไม่ได้ฟังอยู่ดี (นอกจากแผ่นผี) เพราะทางฝ่าย บริษัท จัดจำหน่าย หรือค่ายเพลง เขาจะต้องดู ตลาดก่อน ว่าจะวางแผงจำหน่ายได้ช่วงไหน? ถ้ากระแสเพลง ของนักร้องคน อื่นๆ ยัง ท๊อปฮิต ติด ตลาดอยู่ ก็ต้องรอให้ ซาๆ ลงก่อน นั่นแหละ เขาจึงจะวางแผงขาย ให้ ชาวบ้าน ชาวช่อง ควักกระเป๋า ซื้อหาไปฟังกัน

เห็นไหม ล่ะครับ ท่านผู้ชม เพลงที่เราจะได้ฟังกันแต่ล่ะเพลง มันมีขั้นตอน หยุมหยิม มากมาย นักร้องหน้าใหม่ หลายคน ที่ไม่มีใจรัก ไม่อยากดังจริงๆ ก็ถอดใจ ม้วนเสื่อ กลับบ้าน ไปทำนา, กรีดยาง หลายต่อหลายคนมาแล้ว

ผมเขียนเอง ยังหนักใจแทน แล้วท่านผู้อ่าน รู้สึกอย่างไร บ้างครับ? คอมเม้นต์ มาคุยกันบ้าง น่ะครับ และถ้ายังไง ก็อย่าซื้อแผ่นซีดี ผีผี เลยน่ะครับ.

เป็นอันว่า ตั้งแต่ บ่าย มาจนถึง 2 ทุ่ม ชาง ซาไก กับ ป๋อง อัครินทร์ ทำ “เดโมฯ” เสร็จไป 2 เพลง ส่วนผม กับมือ กีต้าร์ ของ อ้อย กะท้อน และ คุณเล็ก นักดนตรี จากค่ายทหาร ลพบุรี ทำเสร็จ ไป 2 กลม เหมือนกัน ฮ้า..ฮ้า.

แล้วก็ใช่ว่า จะแยกย้ายกันกลับ ทาง “โปรดิวเซอร์” ทั้งสองคนเขาตกลงกันว่า จะพากันไปทำ “เดโมฯ” ต่อที่ร้านข้าวต้ม ในตลาด ลพบุรี ผมยังนึกไม่ออกว่า จะทำเพลงแนวไหนกัน ที่ร้านข้าวต้ม.

ติดตาม อ่าน ตอนไปอยู่ บ้าน ชาง ซาไก ที่ อ.ชนบท ขอนแก่น เร็วๆ นี้ครับ

 
------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
ถึงบ้าน ชาง ซาไก อ.ชนบท จ.ขอนแก่น,14 มค.53
 


ถึงบ้าน ชาง ซาไก อ.ชนบท

เมื่อคืน เจ้าชาง พาครอบครัว กลับที่พัก ประมาณ 4 ทุ่ม เหลือผม กับ คุณเล็ก ถูกเจ้าป๋อง พาไปทำเพลงต่อ อีกสองที่ จนผมจำไม่ได้ว่าเป็นที่ไหนบ้างและเพลงจบยังไง น่าจะหลังเที่ยงคืนนั่นแหละ เจ้าป๋อง จึงได้ส่งผมกลับโรงแรม

เจ้าชาง ปลุกผม ตีห้า บอกว่าได้เวลา ออกเดินทางไปขอนแก่น ผมลุกขึ้นมา แบบ งึกๆ งักๆ รีบทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำลวกๆ แล้วรีบตาลีตาเหลือกออกมาที่ลานจอดรถ ซึ่งเจ้าชาง กับครอบครัวรออยู่แล้ว ที่ลานจอดรถ ด้านนอกโรงแรม ลมพัดแรง อากาศหนาวมากสำหรับคนอยู่ภูเก็ตอย่างผม ที่ไม่เคยมีหน้าหนาว

เจ้าชาง ขับรถออกจากโรงแรมใช้เส้นทาง ลพบุรี-สระบุรี-โคราช เพื่อจะแวะซื้อไม้ บางประเภท(นำไปตกแต่งบ้าน) ที่ อ.สี่คิ้ว ประมาณ 7 โมงกว่า หมอกหนามาก จนไม่เห็นแสงแดด ซื้อไม้เสร็จออกจากร้านขายไม้ เดินทางต่อ ช่วงนี้ เจ้าชาง ใช้ถนนสาย สี่คิ้ว-ชัยภูมิ แวะปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่ อ.ด่านขุนทด เพื่อเข้าห้องน้ำ และกินอาหารเช้าเสร็จ ออกจากปั๊มน้ำมัน มุ่งหน้า ชัยภูมิ ผ่าน ปากทางเข้า วัดบ้านไร่ ของ หลวงพ่อคูณ เสียดายไม่ได้แวะ คงจะต้องหาโอกาส มาแวะกราบนมัสการ สักครั้ง

เจ้าชาง ขับผ่าน ตัวเมืองจ.ชัยภูมิ ตรงไป อ.แก้งคร้อ ก่อนเข้าตัวเมือง แก้งคร้อ เลี้ยวขวา มุ่งไป อ.มัญจาคีรี-อ.ชนบท-อ.บ้านไผ่ เจ้าชางบอกว่า ย่นระยะทางและใช้เวลาน้อยกว่า ใช้เส้นทาง สาย โคราช-อ.พน-อ.บ้านไผ่-อ.ชนบท มากทีเดียว

ประมาณ 10 โมงเช้านิดหน่อย เราก็มาถึง บ้าน ชาง ซาไก ที่บ้าน ท่านางเลื่อน ริมแม่น้ำชี อ.ชนบท มีพ่อตา แม่ยายและญาติๆ เมีย เจ้าชาง มาทักทาย ต้อนรับผมหลายคน ทั้งที่ผมเคยรู้จักและไม่เคยรู้จัก

บ้านเจ้าชาง เป็นบ้านไม้ กึ่งทรงไทย ใต้ถุนสูงนิดหน่อย หันหน้าบ้านไปทาง ทิศตะวันตก ติดถนนซอย ใกล้แม่น้ำชี เพิ่งจะขึ้นบ้านใหม่เมื่อปลายปี 52 นี่เอง ยังต้องปรับปรุง และตกแต่งอีกมาก ส่วนห้อง บันทึกเสียง หรือ สตูดิโอ ก็เพิ่งจะเป็นรูป เป็นร่าง ตามสายตาของผม ยังต้องใช้เงินและเวลาอีกไม่น้อย


หน้าบ้าน หันไปทางทิศตะวันตก
---------------------------------------------------

หลังบ้าน ทิศตะวันออก สร้างเป็นศาลากึ่งทรงไทยเช่นกัน ติดบึงน้ำขนาดใหญ่ ช่วงดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า สวยงามมาก บรรยากาศและกลิ่นอายของวิถีชีวิตชนบท ยังคงสภาพสมบูรณ์ เป็นมุมหนึ่งของบ้าน ที่เหมาะกับการทำงานด้านการประพันธ์ และผมก็ได้มุมนี้ บันทึกเรื่องราวการเดินทาง ทริปนี้


-----------------------------------------------------



---------------------------------------------------

ศาลา หลังบ้าน เจ้าชาง, ภาพนี้ ถ่ายตอนเช้ามืด
------------------------------------------------------

มุมทำงานของ ชาง ซาไก
----------------------------------------------------
วิถีชนบท ยามเช้ารีบมาตักน้ำไปใว้ใช้ที่บ้านและใว้ให้วัวได้กิน


----------------------------------------------------


ยามเช้าหลังบ้าน เจ้าชาง
-----------------------------------------------------

ตกย่ำค่ำ พ่อตา แม่ยาย ญาติๆ ฝ่ายเมียและเพื่อนบ้านของ เจ้าชาง ต่างอุ้ม กะติ๊บ ข้าวเหนียวใบเขื่องๆ รวมทั้ง กับข้าวมาที่บ้าน เจ้าชาง คนล่ะอย่าง สองอย่าง เพื่อเป็นการเลี้ยงต้อนรับผม ผู้ซึ่งเป็น อาคันตุกะต่างแดน ความจริงผมก็ไม่ใช่คนแปลกหน้ามาจากไหน เคยมาที่นี่ ก็หลายครั้ง และหลายคนที่นี่ ก็เคยไปบ้านผม ที่ภูเก็ต แต่ธรรมเนียมปฏิบัติ การต้อนรับคนจากต่างถิ่น และความมีน้ำใจของตนที่นี่ ก็ทำให้ผู้มาเยือนประทับใจเสมอ

คันทรี ดินเนอร์ ต้อนรับ ชำนาญ ณ.อันดามัน ที่บ้าน ชาง ซาไก
------------------------------------------------------

บรรยากาศ คันทรี่ดินเนอร์ ของค่ำนี้ เอร็ดอร่อย สนุกสนาน ตรึกครื้นและชื่นมื่น เป็นอย่างมาก ต่างผลัดเปลี่ยนกันพูดคุยกับผม ซักถามอาการป่วยของคุณพ่อ และความเป็นอยู่ของผมที่ภูเก็ต บางคนที่เคยไปสัมผัสภูเก็ตมาแล้ว ก็เล่า ประสพการณ์ให้คนอื่นฟัง ซึ่งก็หนีไม่พ้น เรื่อง ได้เห็นฝรั่งแก้ผ้าอาบแดดที่ชายหาด อันเป็นประสบการณ์ ที่ยิ่งใหญ่ ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา และเมื่อเล่าถึงตอนสำคัญ ก็จะอ้างผมเป็นพยาน เพื่อให้เรื่องมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ ผมก็ฉลองศรัทธา ต่อเติมเสริมแต่งในบางตอน เป็นที่สนุกสนาน ครึกครื้น ม่วนหลาย ไป ตามๆกัน
เวลาผ่านไป สามทุ่มเศษ ทุกคน อิ่มหนำสำราญ ต่างทะยอยแยกย้ายกันกลับบ้าน เจ้าชาง แต่งเพลงอยู่หลังบ้าน วงดินเนอร์ จึงเหลือผม กับเพื่อนบ้านอีกคน ที่เคยไปบ้านผมที่ภูเก็ต นั่งเป็นเพื่อนคุยกับผม ปกติแก เป็นคนที่นานๆ จะดื่มสักครั้ง แต่คืนนี้ดื่มมากเป็นกรณีพิเศษ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงตอน ที่แกขอตัวกลับบ้าน เล่นเอาแกเดิน งึกๆ งักๆ ชึกๆ ชักๆ จนผมเป็นห่วงว่า เมื่อถึงบ้าน แกจะโดน อัก อัก หรือเปล่า ผมรู้มาว่ามียแกดุซะด้วย ผมทำได้แค่ภาวนาให้แกโชคดี


 
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
“สวนคุณไก่”ตลาดต้นไม้(กุดกว้าง)ขอนแก่น, 15 มค.53
 


บ้าน ชาง ซาไก จ.ขอนแก่น, 15 มค..53

ไปขอนแก่น แวะตลาดต้นไม้ ที่กุดกว้าง

วันนี้ผมตื่นแต่เช้า ออกมานั่ง จิบกาแฟ โต้ลมหนาว ที่ศาลาหลังบ้าน ซึมซับบรรยากาศ วิถีชีวิตชนบท และเก็บภาพ ความงามยามอาทิตย์โผล่พ้นทิวไม้ ส่องแสงฝ่าสายหมอกยามเช้า กระทบผิวน้ำ เกิดเป็นภาพที่ผมบรรยายไม่ถูกจริงๆ ท่านผู้อ่าน ชมความงามตามภาพที่ผมเก็บมาฝาก น่ะครับ

------------------------------------------------------

----------------------------------------------------


ทุกภาพ ไม่มีคำบรรยาย
----------------------------------------

ดูดซับ ดื่มด่ำบรรยากาศ เป็นที่พอใจ ออกไปหน้าบ้าน เห็น เจ้าชาง กำลังเกลาเสาไม้ สำหรับทำระเบียงทางเดิน ระหว่าง ตัวบ้านกับ ห้องบันทึกเสียง เพื่อเตรียมไว้ให้พวกช่าง ที่จะมาถึง ประมาณ 8 โมงเช้า รวมทั้งเพื่อนร่วมวงกับผมเมื่อคืน ที่กลับไปแบบ งึกๆ งักๆ คนนั้นด้วย (ไม่รู้ว่าจะมาทำงานไหวหรือเปล่า) ส่วน คุณน้ำหวาน เมียเจ้าชาง กำลังรดน้ำต้นไม้ ที่เพิ่งจะปลูกได้ไม่กี่วัน

เจ้าชาง เกลาเสาไม้ เตรียมใว้ให้ช่าง
-----------------------------------------------------
สายๆ ก่อนเที่ยง เจ้าชาง ชวนผมติดรถไปตัวเมือง ขอนแก่น เพื่อหาซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างบางอย่าง โดยใช้ถนนสาย มัญจาคีรี-ชนบท-บ้านไผ่-ขอนแก่น เพื่อไปห้างโกบอลล์ ที่จำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือก่อสร้างทุกชนิดเ จ้าชาง ยังไม่เคยไป เพียงรู้ว่า ตั้งอยู่บนถนนสายเดียวกับทางไปสนามบินขอนแก่น


ข้อความที่ท้ายรถคันนั้น บนถนนสาย บ้านไผ่-ขอนแก่น ท่านผู้อ่านเข้าใจเหมือนผมหรือเปล่า?
-----------------------------------------------------

พอเข้าเขตตัวเมืองขอนแก่น ก็เกิดปัญหา เมื่อหาป้ายบอกทางไปสนามบินไม่เจอ ต้องจอดรถ สอบถามชาวบ้านกันวุ่นวาย และเมื่อเข้าถนนสายนั้นได้จึงมองเห็นป้ายบอกทางเล็กๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกตุจริงๆจะมองเห็นยากมาก

ตามความเป็นจริง สถานที่สำคัญ อย่างสนามบิน ควรจะมีป้ายบอกทางแผ่นโตๆ บนถนนสายหลักโน่น ไม่น่าเอามาซุกอยู่ในมุมอับอย่างนั้น ปัญหานี้ ผมไม่แน่ใจว่า อยู่ในความรับผิดชอบของ อบจ.หรือ ทางหลวงจังหวัด ถึงอย่างไรก็ ขอฝากให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ช่วยปรับปรุง แก้ไขด้วยเถอะ ขอนแก่นก็ใช่ว่า เป็นจังหวัดเล็กๆ ซ่ะเมื่อไหร่ ได้ชื่อว่า เป็น เมืองหลวงของ อีสานตอนบนเชียวน่ะ อย่าให้เรื่องแค่นี้ ต้องมาทำให้ อับอาย ขายหน้า คนต่างบ้าน ต่างเมืองเลย

พวกเราออกจากห้างโกบอลล์ มาเที่ยงกว่า รู้สึกหิวกันทุกคน ตอนแรกจะแวะหาข้าวกินกันที่ ห้างโลตัส แต่เมื่อไปถึง เห็นคนเยอะ ก็เลยเปลี่ยนใจ คุณน้ำหวาน เมียเจ้าชาง เสนอให้ไปที่ ตลาดนัดต้นไม้ (กุดกว้าง) เพราะแกจะได้ หาซื้อต้นไม้ด้วย เจ้าชาง ตกลงตามนั้น ส่วนผม ยังไงก็ได้ ไปไหน ไปด้วย ไม่ได้ช่วยสักบาท ฮ้า..

ตลาดนัดต้นไม้(กุดกว้าง) ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ ขอนแก่น-โคราช ขาออก ไม่ไกลจากห้างโลตัส มีพื้นที่ ไม่ต่ำกว่า สิบไร่ ตามสายตาของผม มีร้านขาย ไม้ดอก ไม้ใบ ไม้ประดับ ไม้แคระ ไม้ใหญ่ ปาล์มฯลฯ ราคาตั้งแต่หลัก สิบบาท ถึงหลายๆ แสนบาท ผมสอบถามจากเจ้าของร้านคนหนึ่ง แกชี้ให้ดูบางต้น แล้วบอกผมว่า “อยู่ที่ กุดกว้าง ราคา 250,000 บาท แต่ถ้าไปถึง กรุงเทพฯ ราคาเกินล้าน” ผมฟังแล้ว กลืนน้ำลาย ฝืดคอเลยครับ



ต้นนี้แหละ ราคา 250,000 บาท
---------------------------------------

ต้นนี้ก็หลายตังค์
----------------------------------------
เจ้าชาง ขับรถ วนเวียนจนเจอร้านอาหารเล็กๆ ซึ่งมีอยู่ร้านเดียวในบริเวณนั้น ชื่อร้าน “ซำบายใจ” แต่ตกแต่งได้น่านั่ง เข้ากับบรรยากาศที่มีต้นไม้อยู่รอบๆ หน้าร้าน มี เคาเตอร์ สำหรับขาย ชา กาแฟ เครื่องดื่ม และน้ำหวานต่างๆ เมนู ส่วนใหญ่เป็นอาหารจานเดียว แบบ ฝรั่งกินได้ เมื่อเราเข้าไปในร้าน เห็น ฝรั่ง แก่ๆ สองคน ผัวเมีย นั่งกินอาหารอยู่ก่อนแล้ว ผมอดไม่ได้ที่จะทักทาย ตามความเคยชิน ของคนที่ ทำมาหากิน อยู่กับฝรั่ง คุยกันไป คุยกันมา พอรู้ว่า เป็นชาว สก๊อตแลนด์ มาเยี่ยมลูกชาย ซึ่งเป็นอาจารย์ อยู่ที่ ขอนแก่น และลูกสะใภ้ เป็นคนไทยอยู่ อ.บ้านไผ่ นี่เอง ผมถือโอกาสโม้เรื่องภูเก็ต ให้ฟัง และชวนไปเทียว ฝรั่ง บอกว่าจะหาโอกาส ไปสัมผัสความงดงามตามคำร่ำลือสักครั้ง


ร้านอาหาร”ซำบายใจ"
-----------------------------------------------------


มองอีกมุมของร้าน ซำบายใจ
------------------------------------------------------
เสร็จภารกิจ อาหารมื้อนั้น ภายในเวลาไม่นาน ออกมาด้านนอก มองไปฝั่งตรงข้าม เห็นร้านขาย ไม้ดอก ไม้ประดับใหญ่โตกว้างขวาง ติดป้ายหน้าร้านว่า “สวนคุณไก่” คุณน้ำหวาน ตรงดิ่งเข้าไปเลย ตามธรรมชาติของผู้หญิง ที่เห็นดอกไม้เป็นไม่ได้ ผมกับเจ้าชาง จึงต้องเดินตามไป ตามระเบียบ แต่ก็ไม่ผิดหวัง เมื่อได้เข้าไปสัมผัสกับความสวยงาม หลากหลายของพรรณไม้นานา ชนิด ทั้งไม้ดอก ไม้ใบ การจัดสวนที่ดี ทำให้เพลิดเพลิน ผ่อนคลายได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คุณไก่” เจ้าของร้าน น่ารัก ใจดี มีมนุษย์สัมพันธ์เยี่ยม และที่สำคัญ ให้เกียรติ ยอมถ่ายรูปกับผมเป็นที่ระลึกด้วย แฮ่…



หน้าร้าน”สวนคุณไก่”
----------------------------------------------------



ภายในร้าน”สวนคุณไก่”
----------------------------------------------------

คุณน้ำหวาน ภายใน ร้านต้นไม้”สวนคุณไก่”
----------------------------------------------------

คุณไก่ ให้เกียรติ ถ่ายรูปกับ”ชำนาญ ณ.อันดามัน”ครับ
------------------------------------------------------

อ้อ..ติดต่อ สอบถามเรื่องต้นไม้ กับ คุณไก่ ได้ ที่ โทร: 085-0009342 ครับผม

ผมจึงต้องให้เครดิต “คุณไก่” โดยการเขียนถึงและลงภาพให้หลายภาพ รวมทั้งภาพที่ถ่ายกับผมด้วย (แต่ก็เสียวๆว่าแฟนคุณไก่ จะหึงเอาเหมือนกัน แฮะ..แฮะ..) ถ้าหากใคร อยู่จังหวัดขอนแก่น หรือใกล้เคียง สนใจ จะแวะชม หรือจะหาซื้อ ไม้ดอก ไม้ใบ ไม้ประดับ เชิญที่ร้าน “สวนคุณไก่” ภายใน ตลาดนัดต้นไม้(กุดกว้าง) และบอกกับ “คุณไก่” ว่าอ่านพบจาก บทความของ “ชำนาญ ณ.อันดามัน เขียน” จะได้ลดราคาไม่มากก็น้อยครับ

เราอยู่ที่ร้านคุณไก่ นานพอสมคาร (เพราะเจ้าของร้าน น่ารัก ) จึงได้เดินทางกลับ อ.ชนบท โดยมีต้นไม้จากร้าน คุณไก่ ติดมือ คุณน้ำหวาน มาหลายต้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
บ้าน ชาง ซาไก อ.ชนบท 16,17,18,19 มค.53 จบทริปและกลับภูเก็ต
 


บ้าน ชาง ซาไก, 16 มค.53

ระเบียงทางเดิน ระหว่างบ้านกับ สตูดิโอ ของเจ้าชาง เริ่มเป็นรูป เป็นร่าง คิดว่าเย็นวันนี้คงจะเสร็จ


ระเบียงระหว่างบ้านกับ สตูดิโอ
---------------------------------------------------

เช้าวันนี้ แม่ยายเจ้าชาง ซื้อปลามาจากเพื่อนบ้าน ที่จับได้จากแม่น้ำชี น้ำหนักประมาณสัก 2 กิโลฯเศษ ชาวบ้านแถวนั้น เรียกกันว่า “ปลากระจอกหนู” ส่วนท้องถิ่นอื่นๆ หรือชื่อทางวิชาการ จะเรียกว่า อะไร..? ผมไม่ทราบครับ ดูภาพประกอบ น่ะครับ ถ้าใครรู้ช่วย คอมเมนท์ มาด้วย จะได้เป็นวิทยาทาน

ปลา”กระจอกหนู”จากแม่น้ำชี อ.ชนบท
-----------------------------------------------------
ผมค่อนข้างมั่นใจว่า คันทรี่ ดินเนอร์ ค่ำนี้ คงได้ลิ้มรสต้มยำปลาจากแม่น้ำชีแน่ๆ

------------------------------------------------


17-18 มค.53

สองวันมานี่ เหตุการณ์ปกติ ผมนั่งๆ นอนๆ ติดตามข่าวความเคลื่อนไหว ของประเทศที่ได้ส่งความช่วยเหลือไปยังผู้ประสพภัยแผ่นดินไหวในประเทศเฮติ รู้สึกหดหู่และเวทนา ผู้คนเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง ปกติชาวเฮติ อดอยากยากไร้อยู่แล้ว เมื่อต้องมาถูกภัยธรรมชาติ ซ้ำเติมเข้าไปอีก พวกเขาจะต้องทนทุกข์เวทนา อยู่กับความสูญเสียคนที่รัก สูญเสียทรัพย์สินสมบัติ ผจญกับความเจ็บป่วย และขาดอาหารประทังชีวิต

หันกลับมาดูเขตแคว้นแดนสยาม นามประเทืองของเราบ้าง ภัยธรรมชาติ นั้นมีแน่ ฝนตก น้ำท่วม พายุพัด ครั้งใหญ่มากก็ สีนามิ แต่ก็ไม่เลวร้าย จนถึงกับเป็นมิคสัญญี สามารถฟื้นฟู บูรณะกลับมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว ข้าวปลา อาหาร ยังอุดมสมบูรณ์ ไม่ถึงกับอดอยาก จนตาย อยู่กันสบายจนเกินไป ไม่มีอะไรจะทำ ก็เลยชวนกัน ปั่นหัวคนโน้นที ยุแยงคนนี้ที ชวนกันไปชุมนุมที่โน่น ประท้วงที่นี่ สร้างความวุ่นวาย ไม่หยุด ไม่หย่อน มันต้องการสวรรค์ วิมานอะไรกันนักหนา รู้หรือเปล่าว่า ชาวบ้านเขาเอือมระอา ยิ่งกว่า เด็กช่างกล ยกพวกตีกัน ซ่ะอีก

สงสารก็แต่ พี่น้อง ภาคเหนือ ภาคอีสาน บางคน บางกลุ่ม ที่ไปหลงคารม คนปักษ์ใต้ไม่กี่คน ไอ้พวกนั้นแม้แต่ถิ่นกำเนิดและญาติพี่น้องของมันเอง มันยังทรยศได้ แล้วพวกท่านคิดหรือไม่ว่า? เมื่อพวกนั้นได้สิ่งที่ต้องการแล้ว มันจะไม่ทรยศต่อพวกท่าน ที่ไม่ใช่ญาติโก โหติกา ของพวกมัน

พี่น้องเอ๋ย คนปักษ์ใต้โดยสายเลือด ถึงจะเลวทรามต่ำช้าแค่ไหน ก็ไม่เคยทรยศต่อแผ่นดิน ถิ่นฝังรก และญาติพี่น้องของตัวเองหรอก

แม้แต่พวก ที่วิ่งขึ้นเขาทางหลังบ้านผม ข้าง วค.นครศรีธรรมราช เมื่อ 14 ตุลาฯ พากนั้นก็ไม่เคยทำ

ผมเกิดมาโดยสายเลือดปักษ์ใต้แท้ๆ เกินครึ่งศตวรรษแล้ว ก็เพิ่งจะเห็น 3-4 คนนี่แหละ ท่านผู้ชม

----------------------------------------


19 มค. 53

มีฝนตกปรอย ปรอย มาตั้งแต่ย่ำรุ่ง กรมอุตุนิยมวิทยาของบ้านเราสมัยนี้ ค่อนข้างแม่นยำ เมื่อถูกยำครั้งใหญ่ หลังจากเกิดคลื่นยักษ์ สึนามิ ที่ อันดามัน ผมดูข่าวพยากรณ์อากาศ ทางทีวี เมื่อตอนหัวค่ำ ว่าภายใน 2-3 วันข้างหน้า จะมีพายุฝน ทางภาคเหนือ และอีสาน เตือนให้ประชาชน ระมัดระวัง น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่า ไหลหลาก ตอนนั้นยังชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะขณะนั้นลมหนาวยังพัดแรงและอากาศยังหนาวมาก ไม่มีวี่แววว่าจะมีฝนได้ แต่พอมาเช้าวันนี้ ผมเริ่มมีความศรัทธาต่อ กรมอุตุนิยมวิทยาแล้วครับ

พอสายหน่อย ฝนเริ่มหาย แต่ท้องฟ้ายังมืดครึ้ม จนกระทั่งบ่าย เจ้าชาง บอกว่าลูกสาว อยากไปดูนกกระจอกเทศ ที่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่น ผมจะไปด้วยหรือไม่? จะได้พาไปดู กล้วยไม้ป่าพันธ์ช้างกระ ที่ วัดป่ามัญจาคีรี ผมตอบตกลงโดยไม่ลังเล

เจ้าชาง ใช้ถนนสาย ชนบท-มัญจาคีรี ประมาณ 5 นาที ถึง ฟาร์มนกกระจอกเทศ อยู่ริมถนนตรงกันข้าม วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่น นั่นเอง พวกเราเข้าไปดูนกกระจอกเทศไม่นาน เวลาเย็นมากแล้ว บรรยากาศครึ้มๆ เหมือนใกล้ค่ำ จึงรีบไปต่อ วัดป่ามัญจาคีรี



วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี่ขอนแก่น
------------------------------------------------------




นกกระจอกเทศ ที่คอก ตรงข้าม วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี่ขอนแก่น
----------------------------------------------------

วัดป่ามัญจาคีรี(วัดป่าโนนบ้านเค้า) อยู่ก่อนถึง อ.มัญจาคีรี ประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นแหล่งกำเนิด และเป็นสถานที่ อนุรักษ์ กล้วยไม้ป่าพันธ์ ช้างกระ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตามต้นมะขาม, ต้นตะโก และ ต้นช้างกระ ซึ่งในหนึ่งปี จะมีให้เห็นเฉพาะช่วงเดือน มกราคมและกุมภาพันธ์เท่านั้น คล้ายๆ กับ ดอกบัวผุด ที่อุทยานแห่งชาติ เขาสก จ.สุราษฎร์ธานี



ศาลาทางเดินไปยังบริเวณที่มี กล้วยไม้ป่าพันธ์ “ช้างกระ”
------------------------------------------------------


-------------------------------------------


-----------------------------------------------------

-----------------------------------------------------

-----------------------------------------------------


ภาพบางส่วนของกล้วยไม้ป่าพันธ์ “ช้างกระ”ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
--------------------------------------------------------
สำหรับ ข้อมูลรายละเอียดต่างๆของ กล้วยไม้ป่าพันธ์ช้างกระ ท่านทั้งหลายคงหาได้ไม่ยาก จากเว็บไซต์ ต่างๆ น่ะครับ ส่วนผม ขอแค่เก็บภาพมาฝากครับ ซึ่งก็ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ เพราะอากาศไม่ดีเลย เราอยู่ที่ วัดป่ามัญจาคีรี จนเกือบมืดจึงได้กลับ บ้านเจ้าชาง

————————————

วันที่ 20 มค .53

ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และผมมีแผนจะเดินทางกลับ ภูเก็ต ในวันที่ 21 มค. นี้ จึงขอจบ ทริ๊ป ไป ขอนแก่น บ้าน ชาง ซาไก ไว้แค่นี้ แล้วพบกันใหม่ที่ ภูเก็ต สวัสดีครับ.

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน