วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฟรี! ที่พักญาติและคนป่วยของ ร.พ.สงขลานครินทร์(มอ.หาดใหญ่)

เมื่อวันที่ 21 ต.ค.53 ที่ผ่านมา ผมไปรวมงานศพที่หาดใหญ่ ซึ่งก็เป็นงานศพปกติทั่วๆไป ที่เจ้าภาพตั้งศพไว้ในวัด และไม่เคยคิดว่าจะเอาเรื่องคนตายมาเล่าให้ใครอ่าน

แต่บังเอิญว่า ภายในวัดที่เขาตั้งศพ มันมีอะไรพิเศษอยู่บ้าง ที่เกี่ยวข้องกับ ร.พ.สงขลานครินทร์ หรือที่คนปักษ์ใต้ ส่วนใหญ่เรียกกันติดปากว่า มอ.หาดใหญ่ (และในที่นี้ผมจะเขียนว่า มอ.หาดใหญ่ก็แล้วกัน) ซึ่งผมก็ไม่มีความจำเป็นอะไรจะเล่าเรื่อง มอ.หาดใหญ่ เพราะเขามีเว็บไซต์ใหญ่โต ที่บรรจุข้อมูลทุกอย่างไว้ในนั้น แต่สิ่งพิเศษที่จะเล่านี้ ผมไม่เคยรู้มาก่อนและมั่นใจว่าอีกหลายคนก็คงไม่รู้เช่นกัน

วัดที่ตั้งศพชื่อว่า “วัดโคกนาว” ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ มอ.หาดใหญ่ ใกล้ๆกับ ห้างโลตัสหาดใหญ่นั่นแหละ ทางฝั่งตรงกันข้ามกับประตูวัดก็เป็นประตูทางออกของ มอ.หาดใหญ่



ผมได้สนทนากับเจ้าอาวาสและสอบถามเกี่ยวกับประวัติของวัด ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า วัดนี้ไม่มีประวัติมากมายหรอก เพราะเพิ่งจะเป็นวัดหลังจากมี มอ.หาดใหญ่หลายปี

ความเป็นมา ก็เริ่มจากพระที่อยู่ต่างจังหวัดไกลๆ เมื่อเกิดอาพาธและต้องมารับการรักษาที่ มอ.หาดใหญ่ เป็นเวลาครั้งละหลายๆวัน ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปๆมาๆ จึงได้ปักกรดรออยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งเมื่อก่อนยังเป็นป่า

เมื่อมีพระมาปักกรดมากๆเข้าและบ่อยๆเข้า ก็เลยกลายเป็นสำนักสงฆ์ แล้วก็กลายมาเป็นวัดในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของ มอ.หาดใหญ่ เป็นส่วนใหญ่

ส่วน รพ.สงขลานครินทร์นั้น ก็เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วว่า เป็นทั้งโรงเรียนแพทย์และเป็นทั้โรงพยาบาลรับรักษาผู้ป่วย ที่ได้ชื่อว่าสุดยอดทางด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์และหมอที่ให้การรักษา เพราะว่าคุณหมอแต่ละท่านส่วนใหญ่เป็นอาจารย์หมอ ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่า แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี จะมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยจากทั่วสารทิศ หลั่งไหลมาที่นี้ เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสนคน จึงมีปัญหาเรื่องที่พักตลอดมา

เรื่องมาเกี่ยวข้องกันเมื่อหลังจากสนทนากับท่านเจ้าอาวาสแล้ว ช่วงที่ผมรอให้ถึงเวลาเผาศพ ผมเดินเล่นรอบๆวัด ดูโน่นดูนี่ ตามสันดานอยากรู้อยากเห็นของผม ก็ได้ไปเจอตึก 4 ชั้นเข้าหลังหนึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดตรงประตูทางเข้าวัด ชื่อว่า “อาคารเย็นศิระ” ผมมองเข้าไปที่ชั้นล่าง เห็นมีคนนั่งบ้าง เดินเข้า-ออกบ้าง พลุกพล่านพอสมควร มองไปที่บันไดทางขึ้นก็เห็น รองเท้าถอดวางอยู่มากมาย




ด้วยความสงสัยและอยากรู้ว่าเป็นสถานที่อะไร จึงได้เข้าไปที่เคาเตอร์ ซึ่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้น

เมื่อเข้าไปถึง ก็มีเจ้าหน้าที่ผู้ชาย(ซึ่งเป็นคนพม่าอีกแล้ว)ถามผมว่า “มา ติ ต่อ เรื่อ อาไร?”

ผมถามกลับไปว่า “อยากรู้ว่าที่นี่เขามาทำอะไรกัน เห็นคนเยอะแยะ” คำพูดของผมยาวพอสมควร

เจ้าพม่าคนนั้น เลิกลักกับผมว่า “เดี๋ย เดี๋ย เดี๋ย” แล้วก็รีบลุกเดินเข้าไปที่ห้องติดกระจกด้านหลัง

สักครู่ก็มีผู้หญิงสาว หน้าตาคมขำ ผิวดำแบบปักษ์ใต้ เดินออกมา ผมใช้คำพูดเดิมถามไป แต่ทีนี้ แหลงใต้เลย

สาวน้อยคนนั้น จึงอธิบายร่ายยาว(แหลงใต้)ให้ผมฟังว่า “อาคารเย็นศิระ” หลังนี้ มอ.หาดใหญ่ เป็นฝ่ายหางบประมาณมาสร้าง โดยขอใช้ที่ดินของ “วัดโคกนาว” เป็นสถานที่ก่อสร้างสำรองไว้เป็นที่พักของญาติผู้ป่วยและผู้ป่วยจากต่างจังหวัด ที่มารับการตรวจรักษาที่ มอ.หาดใหญ่ ประเภทที่หมอนัดตรวจทุกวัน หรือวันเว้นวัน หรือสองวันเว้นวัน หรือเป็นสัปดาห์ อะไรประมาณนี้ จึงจำเป็นต้องอยู่รอ และมาขอพักที่นี่ โดยไม่ต้องเสียค่าที่พัก แต่ถ้าจะช่วยค่าน้ำ ค่าไฟบ้างก็ไม่ขัดข้อง เรียกว่า ให้พัก ฟรี ว่างั้นเถอะ


ท่านใดที่ต้องการสอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติม โทรไปได้ที่ 089-4623139

แต่ถ้าได้รับโทรศัพท์ ด้วยภาษาไทยแต่สำเนียงพม่า ก็ต้องทำใจสักหน่อยนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไปร่วม "ลุยไฟ" กินเจวันสุดท้าย

   
เสร็จสิ้นประเพณีถือศีลกินผัก ของจังหวัดภูเก็ต ประจำปี 2553 หลังจากการส่งพระ ที่สะพานหิน เมื่อเที่ยงคืนที่ผ่านมา(16 ต.ค.) ยิ่งใหญ่และอลังการเหมือนทุกปี ทั้งขบวนแห่พระและการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง จากศาลเจ้าต่างๆ

 ประเพณีอันยิ่งใหญ่นี้ ได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากทั้งคนไทยและต่างชาติก็มาก ในทางกลับกันการตำหนิ ติติงถึงการแสดงอิทธิฤทธิ์ที่หวาดเสียวเกินไป ของม้าทรงก็มีไม่น้อย ซึ่งแล้วแต่มุมมองและความรู้สึกของแต่ละคน

สำหรับ ชำนาญ ณ.อันดามัน ก็เก็บโน่นนิด เก็บนี่หน่อยมาเล่าสู่กันอ่าน ตามประสาคนชอบเล่า แต่จะมีใครชอบอ่านมากน้อยอย่างไรหรือไม่ อันนี้ไม่ได้ซีเรียส เพราะเข้าใจเรื่องนานาจิตตังพอสมควร

 วันนี้จะเล่าเรื่องไป "ลุยไฟ" ที่ "อ๊ามกะทู้" อย่างที่เขียนบอกไว้เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ว่ามีคนชวนมาหลายครั้ง และจะเริ่มเล่าติดต่อกัน ตั้งแต่เช้าของวันที่ 16 ต.ค. ตอนที่ออกจากบ้านมาเก็บภาพ การแห่พระของ อ๊ามหล่อโรง ซึ่งเป็นอ๊าม สุดท้ายของปีนี้ จนกระทั่งไป ลุยไฟ ที่ อ๊ามกะทู้ ในตอนบ่าย

 เช้าวันที่ 16 ต.ค. ฝนหยุดตก แต่ท้องฟ้าเหนือเกาะภูเก็ตยังครึ้มสลัว แปดโมงครึ่ง ผมออกจากบ้านมา ตรงไปที่บางเหนียว ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ที่สุดเมื่อมาจากบ้านผม ขณะที่ผมมาถึง ขบวนแห่พระก็มาถึงพอดี
สำหรับวันนี้ เน้นภาพหวาดเสียวมาให้ดูกัน




            สำหรับสองคนนี้ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ผมถ่ายมาได้แค่คนเดียว ที่แยก บขส.วันนี้เจออีก กดฉับเข้าให้ทั้งคู่เลย เข้าใจว่า เขาน่าจะเข้าร่วมขบวนแห่พระทุกวันหรืออย่างไร ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดี และเป็นเรื่องปกติ ที่จะเห็นชาวต่างชาติร่วมอยู่ในขบวนแห่พระของศาลเจ้าต่างๆ

ดูภาพแล้วก็มาดูคลิปวีดีโอกัน


--------------------------------------

เสร็จภารกิจจากการเก็บภาพ ที่บางเหนียว ผมกลับเข้าบ้านจนประมาณบ่าย 2 โมง จึงได้ออกมาอีกครั้ง เพื่อพบกับพรรคพวก(เป็นร่างทรงแป๊ะกง) ตามที่นัดกันไว้ ใกล้ๆสี่แยกเขารัง แล้วก็ไป อ๊ามกะทู้ ด้วยกันเพื่อร่วมลุยไฟ  ซึ่งจะเริ่มพิธี ประมาณ บ่ายสามโมงสี่สิบห้า ตามกำหนดการ

เรา 3 คน (หมายถึงผม ร่างทรงแป๊ะกงและหลานชายของเขา) มาถึง อ๊ามกะทู้ บ่ายสองโมงเศษ ผมกับร่างทรงแป๊ะกง ปลดสิ่งที่เป็นโลหะในตัวทุกชิ้นออก รวมทั้งกล้องถ่ายรูปตัวเก่งของผมด้วย ฝากไว้กับหลานชาย พร้อมทั้งมอบหมายให้เขาเป็นตากล้องช่วยถ่ายภาพให้ด้วยและเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาไม่ค่อยจะเข้าใจมุมกล้องสักเท่าไหร่ ผมจึงไม่ได้ภาพตามที่ต้องการเลย แม้แต่รูปของผมกับของลุงมัน (ถามมันทีหลัง มันบอกว่าโดนบังหน้ากล้อง) เฮ้อ....เซ็งเป็ดเลย

เป็นกฏของการลุยไฟ ที่ไม่ให้มีโลหะติดต้วแม้แต่ชิ้นเดียว ในขณะเข้าไปลุยไฟ จะด้วยเหตุผลอันใดผมก็ไม่แน่ใจ และยังมีกฏอื่นๆอีกมากมาย ที่เข้มงวดกวดขันมาก เช่น  ห้ามจุดปะทัดโดยเด็ดขาด ห้ามผู้ที่ไม่ได้ใส่ชุดขาวเข้าไปโดยเด็ดขาด ห้ามผู้หญิงเข้าไปในบริเวณที่กำหนดไว้โดยเด็ดขาดและฯลฯ อีกเยอะแยะ

เมื่อปลดทุกอย่าง(ยกเว้นเสื้อผ้า)ออกหมดแล้ว ก็เดินเท้าเปล่า เข้าไปไหว้พระตามจุดต่างๆ ภายในอ๊าม จนครบทุกจุด แล้วรอให้เจ้า ออกจากอ๊าม ออกไปในบริเวณลุยไฟ ที่เจ้าหน้าที่อ๊ามจัดเตรียมถ่านที่เผาไฟคุโชนกองเบอเร่อ ที่ลานหน้าอ๊าม

เมื่อเจ้าทั้งหลายออกมาจากอ๊าม ซึ่งมีทั้งเจ้าอ้วน เจ้าผอม เจ้าหนุ่ม เจ้าแก่ที่เดินถือไม้เท้าหลังค่อมหน้าเกือบจะติดดินก็มี (ผู้รู้บอกว่าอายุเป็นพันปี)  ทะยอยออกมาจนหมด ก็เหลือเฉพาะเจ้าที่ใหญ่ที่สุดของอ๊าม ซึ่งลูกศิษย์ต้องเอาเกี้ยว(แบบในหนังจีนกำลังภายใน)ไปรับถึงช่องประตูชั้นในหามออกมา(ซึ่งมีผ้าม่านปิดบังหน้าเกี้ยวเอาไว้ไม่สามารถมองเห็นเจ้าได้) ตรงไปยังลานลุยไฟ นั่นแหละพวกชุดขาว(รวมทั้งผมด้วย)ที่พร้อมจะ(สละฝ่าเท้า)ลุยไฟจึงได้เดินตามไปเป็นแถว เท่าที่ผมสังเกตุคราวๆ ไม่ต่ำจาก 30 คน

เจ้าอ้วน

เจ้าผอม

เจ้าแก่




เมื่อลงไปถึงบริเวณลานลุยไฟ สัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากกองถ่านไฟ กองใหญ่นั้น ผมคิดว่าถ้าคนธรรมดาไม่ใส่เสื้อผ้าเข้าไปใกล้ ผิวหนังต้องเป็นหมูหันแน่ ขนาดพวกเจ้าหน้าที่ ที่ใส่ชุดขาวเสื้อแขนยาว ยังต้องมีผ้าขนหนูชุบน้ำจนเปียกแล้วคลุมหัวคลุมหน้าไว้ตลอดเวลา




ส่วนพวกที่จะ(สละชีพรวมทั้งผมด้วย)ลุยไฟ เขาบอกให้พับขากางเกง ขึ้นมาไว้เหนือเข่า เพื่อป้องกันไม่ให้ไหม้ไฟ

เอาละซิ ขนาดผ้ากางเกงยังกลัวไฟไหม้ แล้วหนังบางๆกับขนหน้าแข้ง มันจะเหลือเรอะ ผมคิดอย่างรู้สึกสยดสะยอง แต่ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จะถอยหลังกลับก็ใช่ที่ เสียชื่อค่ายหมด อีกอย่างเชื่อมั่นว่ามีพี่เลี้ยงดีด้วย ยังไงเสียคงไม่ถึงตายหรอกน่า ปลงได้เรียบร้อย ก็เข้าแถวต่อคิวจากพี่เลี้ยงด้วยความมั่นใจ

เมื่อถึงเวลา 15.45 น.เจ้าองค์แรกก็เริ่มลุยข้ามกองไฟผ่านพ้นไปต้วยดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตามด้วยเสียงปรบมือกึกก้อง ของท่านผู้ชมรอบข้าง ทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติและสื่อมวลชนต่างๆ ไม่ต่ำจากพันคน

เมื่อเจ้าลุยข้ามไปจนหมด ซึ่งมีไม่ต่ำจาก 15 องค์ ต่อไปพวกชุดขาวก็ถึงคิวเชือด
ก่อนที่ผมจะออกมาจาก บริเวณ ก็มีเจ้าแก่มากๆ ที่อยู่ในร่างทรงหนุ่มมากๆ ผ่านมาให้พรผม แล้วก็กลับเข้าอ๊ามไป
องค์นี้ที่ให้พรผม มีคนบอกว่าจี้กง อายุเป็นพันปี
--------------------------

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ดูขบวน"แห่พระ"และ"ม้าทรง"อ๊ามจุ้ยตุ่ย 14 ตค.53

เช้าวันที่ 14 ต.ค.53 ฝนซึ่งตกติดต่อกันมาหลายวันก็ยังตกอยู่ ผมออกจากบ้านเกือบ 9 โมงเช้า เพื่อไปเก็บภาพและถ่ายคลิป ขบวนแห่พระและม้าทรง ของ"อ๊ามจุ้ยตุ่ย" ซึ่งถือว่าเป็นอ๊ามที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ
ของภูเก็ต

จุดแรกที่ผมตั้งใจไปคือที่บางเหนียว เพราะเวลานั้น ขบวนพระ เริ่มกลับจากสะพานหินแล้ว ฝนยังตกพรำๆ แต่ขบวนพระและม้าทรง ยังคงเคลื่อนมาตามเส้นทางปกติ อีกทั้งคนที่มารอชมและรอรับพรจาก
ม้าทรง ก็ไม่ได้ย่อท้อต่อสายฝนนั้น ขาวโพลนไปตลอดสายถนน ด้วยชุดกินเจ

ผมหาจุดที่เหมาะสมที่จะถ่ายภาพ ปักหลักเลือกเก็บภาพที่คิดว่าดูดีและไม่หวาดเสียวมากนักเอามาฝากทุกท่าน พอเป็นกระสาย ส่วนภาพหวาดเสียวมากๆ น่าจะหาดูได้ตามเว็บอื่นๆ





เท่าที่ผมสังเกตุปีนี้ ม้าทรง ที่เป็นผู้หญิงค่อนข้างเยอะ

----------------------------------

ดูคลิป จุดบางเหนียว


--------------------------------


จากบางเหนียว ผมย้ายไปที่ สี่แยก บขส. เก็บภาพและถ่ายคลิปได้ดีๆหลายช๊อต เชิญทัศนา
แต่ถ้าจะดูแบบหวาดเสียวมากๆ คงต้องผิดหวัง

สามองค์นี้ ผมไม่แน่ใจว่าชื่ออะไรบ้าง แต่คงเป็นเจ้าระดับแม่ทัพทหารแน่


องค์นี้เล่นปืนกลทีเดียว


ม้าทรง สาวน้อยใจถึง


อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตืดคุกหรือเปล่า เพราะเห็นร้อยสายโซ่


ที่เห็นเป็นระบายดอกๆ ชมพู แดง ที่แขน ไม่ใช่ติดกับกาวนะครับ แต่ใช้เข็มเย็บเข้าไปใต้ผิวหนังเลย
หนึ่งดอก ก็ เข็มหนึ่งเล่ม

เจ้าแม่กวนอิม (แก่ไปหน่อย)


องค์นี้ คงเคยแล่นเรือสำเภา


อันนี้ ไม่ใช่ม้าทรง แต่เป็นม้าหลง เดินผ่านหลังผมแว็บๆ เลยกดฉับเข้าให้ แทงเต็มตัวเหมือนกัน
ความจริงมีสองคน แต่อีกคนวิ่งทัน เลยได้ภาพมาคนเดียว ดูแล้วไม่น่าจะใช่ม้าไทย


องค์นี้ชอบ "นกกรงหัวจุก" แหงๆ


ในกลุ่มนี้ยังมี เจ้าเล็กๆ อยู่องค์หนึ่ง สังเกตุให้ดีก็น่ารักไปอีกแบบ


ในขบวนแห่พระ ใช่จะมีเฉพาะคนจีนหรือคนไทย หรอกน่ะ
สังเกตุให้ดีแล้วจะเข้าใจซาบซึ้งว่า ศรัทธาไม่เคยเลือกเชื้อชาติและผิวพรรณ

--------------------------------------

ชมคลิปบางตอน ที่แยก บขส.




--------------------------------------

คงพอจะได้เห็นอะไรบ้างนะครับ ของพรรค์นี้ ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่


วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Bookingแรกของซีซั่นจากคณะ “เฮียย้ง ณ.อุดรธานี”

คณะ"เฮียย้ง"กับมื้อแรกที่ภูเก็ตหลังจากลงเครื่องบิน

เป็นการเปิดไฮซีซั่น ประจำปี ของ Layan Travel and Tour ที่แตกต่างไปจากปีก่อนๆ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวฝรั่งจองเข้ามาก่อนเป็นส่วนใหญ่ แต่ปีนี้เป็นพี่ไทยจากที่ราบสูงของประเทศไทย จ.อุดรธานี ชื่อคณะ “เฮียย้ง” มากัน 8 คน ไม่มาก ไม่น้อย นับว่ากำลังดีสำหรับการให้บริการกรุ๊ปทัวร์ทั่วๆไป

เมื่อตอนที่กำลังติดต่อ สอบถามรายละเอียดกันทาง อีเมล์ “ชำนาญ ณ.อันดามัน” หวั่นๆอยู่ว่า จะเละตุ้มเป๊ะแบบกรุ๊ปคนไทยที่เคยให้บริการก่อนๆนี้ ชักเสียวๆเหมือนกัน

จริงๆครับท่านผู้ชม ไม่ใช่จะประณามหรือรังเกียจคนไทยด้วยกันเองนะครับ ที่ผมเจอมาแต่ละกรุ๊ป ทำเอาไข้ขึ้น ปวดหัวตัวร้อนทุกที สารพัดปัญหาที่พระเดชพระคุณท่านเหล่านั้น ช่างขุดค้นสรรหามาให้ผมแก้

เรื่องผิดเวลานัด มาเป็นอันดับหนึ่ง นัดเวลา 08.00 น.โน่น 08.30 หรือ 09.00 โน่นแหละ คุณนายท่านจึงได้นวยนาดออกมาที่ หน้าฟร้อนท์

พอมาถึงก็จีบปากจีบคอ “คุณไกด์ค่ะ ช่วยบอกโชเฟอร์ ให้ขับรถทำเวลาหน่อยนะ ประเดี๋ยวไม่ทันเรือไปเกาะพีพี” แน่ะ..หารู้ไม่ว่า เวลานั้นนะ เรือมันออกไปถึงครึ่งทางแล้ว น่ะคุณนายท่าน

เรื่องต่อมาก็ เรื่องอาหารการกิน มาภูเก็ตทั้งที ก็ต้องให้เราพาไปร้านอาหาร ซีฟู๊ด ตามธรรมเนียม “เดี๊ยน อยากกิน กุ้ง หอย ปู ปลาทะเลสดๆนะ ไกด์ช่วยพาไปที่ร้านอาหารซีฟู๊ดดีๆหน่อยซิ” “ได้ครับ”ผมตอบสั้นและได้ใจความ

พอเราพาไปถึง ร้านอาหารซีฟู๊ด ที่คิดว่าไม่อาย แขกบ้าน แขกเมืองแน่ๆ แต่กว่าคุณนายท่านจะหาโต๊ะที่พอใจนั่งได้ก็เล่นเอากัปตัน ร้านอาหาร หน้าบูดเป็นดมตดไปเลย โต๊ะนี้ไม่สะอาด โต๊ะนั้นใกล้คนสูบบุหรี่ โต๊ะริมเทอร์เรสเหม็นกลิ่นคาวทะเล ฯลฯ สุดท้าย ได้นั่งโต๊ะหน้าห้องส้วม...สมน้ำหน้า!

นั่งเสร็จสรรพเรียบร้อย หันมาบ่นกับไกด์ “ร้อนอบอ้าวจังเลยนะคุณชำนาญ อยู่ริมทะเลไม่เห็นมีลมพัดสักนิด” “วันนี้น้ำตายครับ ลมจะเงียบซักระยะหนึ่ง” เราก็บอกตามความเป็นไปของธรรมชาติ “อุ๊ย..น้ำทะเลมีตายด้วยเหรอ?” มือทาบ อก ทำท่าตกใจ น่าโดดถีบให้ตกเก้าอี้

ต่อจากนั้นเรียกพนักงานเสิร์ฟมาขอเมนู พลิกไป ดูมา แล้วพูดกับเด็กเสิร์ฟ จนหน้าย่นยู่ยี่ ก็ยังสั่งอาหารไม่ได้สักอย่าง เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็..เด็กเสิร์ฟมันเป็นคนพม่าที่เพิ่งมากับรถห้องเย็นเมื่อวานซืนนี่เอง แล้วจะพูดกันรู้เรื่องได้ยังไง ละคร๊าบบบ...คุณนาย

ไม่วายเดือดร้อนไกด์ ต้องแปลงร่างมาเป็นคนเชียร์อาหารอีก”คุณนายอยากรับอาหารประเภทไหนครับ?”

ท่านจีบปาก”เดี๊ยน.อยากกินปลาเผานะ คุณชำนาญ ช่วยแนะนำหน่อยซิ มีปลาอะไรอร่อยๆบ้าง?”

“ถ้าปลาเผา ก็ต้อง กะพง,หัวเสี้ยม,ตะมะหรือไม่ก็ กะมงพร้าว ปลาสดๆตัวเป็นๆ เขาเลี้ยงไว้ในบ่อข้างๆนั่น ราคาตามน้ำหนัก เขาจะตักมาขึ้นตาชั่งให้คุณนายได้ดูราคาเลยครับ ถ้าเป็นกุ้ง ก็มี กุ้งมังกร,กุ้งกุลาดำ,กุ้งลายเสือ,ปูม้า,ปูดำ,หอยแครง,หอยชักตีน,และก็หมึกหอม,หมึกกล้วย” ผมร่ายยาวแบบมืออาชีพ

คุณนายท่าน ไปยืนข้างบ่อพักปลา เลือกอยู่เกือบ 20 นาที ก็ไม่ได้ปลาตัวล่ะ 120 บาทตามต้องการ เดินตุปัดตุป่อง ป่นกะปอดกะแปดกลับมาที่โต๊ะ สรุปที่เมนู ข้าวผัดปูกับแกงจืดเต้าหู้หมูสับ เฮ้อ..เวรกรรม

ยังมีเรื่อง จุกจิก จู้จี้ อีกสารพัดสาระเพ เล่ากันทั้งคืนก็ไม่หมด ผมยังสงสัยอยู่ว่า เขามาเที่ยว มาพักผ่อน แต่ไม่มีอะไรถูกใจเขาสักอย่าง ไม่ได้ดังใจเหมือนอยู่กับผัวที่บ้าน แล้วจะมาให้มันเปลืองตังค์ทำไมก็ไม่รู้?

ที่นี้เมื่อมารับ Booking ของคณะ “คุณย้ง” ก็หวั่นๆอย่างที่ว่า แต่งานบริการถึงจะเป็นคนไทย,ฝรั่ง,จีน,เกาหลี,ญี่ปุ่น,แขกอินเดีย,แขกอาหรับ(ซึ่งเรื่องมากที่สุดเท่าที่เคยทำทัวร์มา)ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ และก็เป็น Booking แรกของซีซั่น ซะด้วย เอาเคล็ดซะหน่อย

ติดต่อ สอบถาม รายละเอียดกันมาเป็นเดือน(จนนึกว่ายกเลิกไปแล้ว) กระทั่ง โอนเงินมัดจำเรียบร้อย สรุปโปรแกรม ให้ผมจัดรถไปรับที่สนามบินภูเก็ต เครื่อง Landing เวลา 18.40 น.ของวันที่ 28 ก.ย.53

ผมเตรียมป้ายชูต้อนรับ “คุณย้งและคณะ” อย่างดี คิดเอาเองว่าออกแบบอย่างสวยงามด้วย ห้าโมงครึ่ง ของวันที่ 28 ก.ย.รถออกจากตัวเมืองภูเก็ต โดยคนขับรถคนใหม่ ผมติดรถไปด้วยในถานะไกด์ เพื่อบริการให้ประทับใจไม่รู้ลืม อิ..อิ..

เมื่อเข้าไปในสนามบิน ผมลงจากรถก่อน แล้วให้คนขับ ไปหาที่จอด(ซึ่งหายากมาก)และกำชับว่าให้รีบเอาป้ายชูมาด้วย เพื่อชูให้คณะทัวร์เห็นคนมารับคณะของเขา ไม่ยังงั้น เผลอๆ พวกรถตู้ ป้ายดำ,แท็กซี่ผี คาบเอาไปแล้ว จะยุ่ง

ขณะที่ผมเดินมา ยังไม่ทันถึงช่องประตู ที่ผู้โดยสารจะออกมา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอรับสาย ได้ยินเสียงใสๆ พูดมาตามสายว่า “พี่ชำนาญค่ะ เรามาถึงแล้ว พี่อยู่ไหน?” ตอนนั้นผมยืนอยู่ฝั่งถนนตรงข้าม ห่างออกมาประมาณ 20 เมตร

ผมมองไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวหน้าประตู(ซึ่งมีไม่มาก)ก็เห็นหนุ่มๆ สาวๆ ยืนอยู่กลุ่มหนึ่งประมาณ7-8คน และหนึ่งคนในจำนวนนั้นกำลังพูดโทรศัพท์ จากประสบการณ์ การทำงานมานาน ผมถามกลับไปในทันทีว่า “ใส่กางเกงขาสั้นสีขาว เสื้อสีดำใช่ไหม?”

เธอตอบว่า”ใช่ค่ะ”

“ผมกำลังมาแล้วครับ” แล้วผมก็ข้ามถนนไป ทักทายทุกคน ต้อนรับตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยเฉพาะกับ”เฮียย้ง “ (ตามที่ทุกคนเรียก) หัวหน้าคณะทัวร์ ตาม Booking นี้ ดูลักษณะเป็นผู้อาวุโสกว่าใคร บุคลิกเสี่ยทั่วๆไป อายุก็ขนาดว่าหนุ่มใหญ่วัยเมียหึงเชียวแหละ ส่วนคนอื่นๆ ก็ประมาณ 20 ต้นๆ ถึง 30 ต้นๆ

ผมสำรวจทุกคน พอประมวลได้คร่าวๆ ว่าน่าจะมีเชื้อสายจีนอยู่หลายส่วน และสังเกตไม่รู้ว่าเป็นคนมาจากที่ราบสูง คอมพิวเตอร์ในสมองผม เก็บข้อมูลเสร็จ จากนั้นผมก็โทรเรียกรถให้เข้ามา

เมื่อรถจอด ผมเปิดประตูรถเพื่อให้พวกเขาขึ้นไปนั่ง(หลังจากเอากระเป๋าขึ้นด้านหลังแล้ว) มีอยู่คนหนึ่งในกลุ่ม(เจ้าตัวคงจำได้)คว้าป้ายชูต้อนรับที่วางอยู่บนเบาะรถ ขึ้นมาชูหราให้พรรคพวกดู เล่นเอาผมหน้าแหกยับเยิน อุตส่าห์ทำมาซะอย่างดี ไม่ได้ชูให้พวกเขาเห็นสักแวบ จะโทษคนขับรถว่าเอามาช้าก็ไม่ถนัด ความจริงผมเดินมาก่อนดันไม่ถือติดมือมาเอง

เมื่อรถออกมาจากสนามบิน on the way ผมได้พูดคุย ปฏิสัณฐาน หยั่งเชิงดู ก็รู้สึกเบาใจ สัมผัสได้ว่า หนุ่มสาวกลุ่มนี้ เป็นนักท่องเที่ยวตัวจริง ที่มีประสบการณ์ การท่องเที่ยวมาไม่น้อย อัทธยาศัยดีทุกคน สนุกสนานร่าเริง มองโลกในแง่ดีแบบคนหนุ่มสาวยุคใหม่ และหลายคนเคยมาภูเก็ต ไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง จึงไม่น่าจะทำให้ผมปวดหัว ตัวร้อนเป็นแน่

พวกเขามีเพื่อนเป็นคนภูเก็ตด้วย(หยุดรถเอาของฝากให้เพื่อนที่แถวๆอนุสาวรีย์ย่ามุก-ย่าจัน) รู้จักภูเก็ตพอสมควร จึงไม่มีคำถามอะไรมากมาย ขณะอยู่บนรถพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไป และไม่หนีเรื่องอาหารค่ำ ก่อนเข้าที่พัก

ผมพาไปร้านอาหาร แถวบ้านป่าหล่าย ก่อนถึงห้าแยกฉลอง เป็นร้านซีฟู๊ด ติดริมทะเล ให้พวกเขาได้ลิ้มรสชาด กุ้ง หอย ปู ปลา สดๆ สมกับที่มาถึงภูเก็ต
แล้วพวกเขาก็ไม่ผิดหวังกับปลาทอด ปลาเผา ต้มยำซีฟู๊ดและอื่นๆ เต็มโต๊ะที่เอา 2 ตัว มาชนเป็นตัวเดียว สงสารก็แต่ “เฮียย้ง” หัวหน้าคณะ ที่มีโรคแพ้อาหารทะเล ก็เลยได้แต่กิน “กระเพราหมูราดข้าวไข่ดาว” เท่านั้น แพ้แบบนี้ก็ดีไปอย่าง ไม่เปลืองตังค์.. ดีกว่าแพ้ ป๊กเด้ง นะเฮียนะ ฮ้า ฮ้า...

อิ่มหนำ สำราญ กันดีแล้ว สามทุ่มเศษๆ ออกจากร้านอาหาร เพื่อไปที่พักบนหาดกะรน ขณะอยู่บนรถ ผมได้ยินเสียงบ่นกันถึง ราคาไอติมที่ร้านอาหาร ว่าแพงไปหน่อย(แต่เห็นซื้อหอบกันมาเป็นถุง) ไม่ยักกะบ่นเรื่องราคาปลาชั่งกิโลฯและราคาอาหารอื่นๆ ให้ผมปวดหัวใจ ไม่งั้นผมจะแนะนำให้กินข้าวราดแกงแทน แต่ถ้าคนชอบบ่น ยังไงก็ต้องบ่น จริงแม๊ะ หนูมิ้ง?(ชื่อถูกหรือเปล่าหว่า)

เกือบ สี่ทุ่มจึงมาถึง เซนทาร่ารีสอร์ทกะรน เข้าเช็คอิน แล้วก็ เซกู๊ดบาย พบกันใหม่พรุ่งนี้ เวลา 08.30น. เพื่อรับไป “สวนน้ำ” ที่หาดไม้ขาว

วันรุ่งขึ้น ที่ 29 ก.ย.ผมมาถึงโรงแรมก่อน 08.30 เล็กน้อย โดยเป็นผู้ขับรถมาเองและเป็นไกด์ด้วย(แบบ2in1) เพราะคนขับรถเมื่อคืนติดภารกิจงานอื่น

เมื่อถึงเวลานัดรับ คณะของ เฮียย้ง ก็พร้อมที่จะขึ้นรถ ไม่โอ้เอ้ โยกโย้ ยืดยาด แบบกรุ๊ปคนไทยอื่นๆ ที่ผมเคยเจอ (คนไทยที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวเมื่ออ่านบทความนี้แล้วพึงสำเหนียกเอาไว้) นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของนักท่องเที่ยวที่ดี เพราะจะไม่สร้างความน่าเบื่อหน่าย หนักใจให้กับผู้ประกอบการ การให้บริการทางด้านการท่องเที่ยว

อยากจะบอกให้พี่น้องชาวไทยของข้าพเจ้าว่า จงช่วยกันยึดถือเวลานัดต่างๆให้เคร่งครัดและเลิกค่านิยมแบบ “ช้า ช้า ได้พร้าเล่มงาม” เสียทีเถอะ มันจะช่วยให้ประเทศไทยกระโดดจากการเป็นประเทศโลกที่สาม ข้ามประเทศโลกที่สอง(ซึ่งไม่รู้ไอ้ฝรั่งมันจัดไว้หรือเปล่า)ไปสู่ประเทศที่เจริญแล้วซ่ะที สงสารลูกหลานรุ่นหลังๆ เถอะ ถ้าพวกท่านยังประพฤติ ปฏิบัติกันอยู่แบบเดิมๆ เด็กๆรุ่นหลัง ก็จะต้องย่ำอยู่กับโลกที่สาม ไม่ได้ผุดได้เกิด ได้ยกฐานะเป็นผู้เจริญแล้วกับเขาหรอก เอ้า..หาเรื่องด่าคนจนได้

กลับเข้าเรื่อง...เมื่อทุกคนขึ้นรถ ก่อนจะออกรถ ผมถามว่าใครลืมอะไรบ้าง?(ตามหลักปฏิบัติของไกด์ที่ดี) และก็ได้คำตอบที่ดี ว่ามีการลืมกล้องถ่ายรูปไว้ในห้อง แต่เจ้าตัวไม่ซีเรียส ก็เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ออกจากโรงแรมหาดกะรน มุ่งหน้าเข้าตัวเมืองภูเก็ตเพื่อชมตึกเก่า รูปแบบ ชิโน-โปตุกีส และพิพิทธภัณฑ์ไท้หัว(ไม่ได้เข้าไปปิดวันพุธ)ที่ถนนถลาง ผมขับรถไปพลาง ขายยาไปพลาง ใส่มุขตลกไปบ้าง เอาเรื่องจริงพูดเล่นบ้าง เอาเรื่องเล่นมาพูดจริงบ้าง ทั้งคณะไม่ได้ถือสาหาความกับผม ดูทุกคนมีความสุข สนุกสนานไปตามบรรยากาศของความเป็นกันเอง

จนออกจากตัวเมืองภูเก็ต ขึ้นถนนสายหลัก วิ่งย้อนกลับไปบนเส้นทางที่มาจากสนามบิน ดิ่งไปสวนน้ำ ต.ไม้ขาว ซึ่งเลยสนามบินไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร

ขณะที่รถวิ่งอยู่บนถนน ผมถามรวมๆไปว่า มาเที่ยวทะเล ทำไมไปเล่นสวนน้ำจืด ได้รับคำตอบกลับมาว่า ก็ที่อุดรธานี มันไม่มีนี่ เออ..จริงของเขาแฮะ ถามโง่ๆ ไปได้!

10 โมงเศษ มาถึงสวนน้ำ สารภาพตรงๆว่า ผมก็เพิ่งมาเป็นครั้งแรก ผมไม่ได้บอกพวกเขาหรอก ก็พวกเขาไม่ได้ถามผมนี่! แต่แถวนั้นไม่เป็นปัญหากับผมหรอก เพราะผมเที่ยวทะลุปรุโปร่ง ตั้งแต่ยังทำงานอยู่สนามบินเมื่อสิบกว่าปีก่อน ลูกน้องเก่ามีบ้านอยู่แถวนั้นหลายคน

ด้านหน้าสวนน้ำภูเก็ต

เมื่อพวกเขาลงจากรถ และนัดแนะเวลาให้ผมมารับกลับเรียบร้อย พวกเขาไปซื้อตั๋ว ผมจึงถือโอกาสเข้าไปทำ Contract Rate กับ Sales & Marketing เพื่อจะได้ส่งทัวร์มาให้เขา ในนาม Layan Travel and Tour โอกาสต่อไป โชคดีที่ ผู้จัดการ Sale รู้จักผม เนื่องจากเขาเคยไปเช่าหาดลายัน จัดปาร์ตี้ หลายครั้ง จึงทำ Contract ได้ ทั้งๆที่ผมไม่ได้เอาใบอนุญาตของ ททท.ไปด้วย แต่สัญญาว่าจะจัดการให้เขาเร็วที่สุด ขอขอบคุณมา ณ.โอกาสนี้ด้วย

ภายในสวนน้ำ

ผมขับรถออกมาจากสวนน้ำ WEST SANDS PHUKET หรือ Splash Jungle กลับไปสนามบิน เพื่อหาข้าวเช้ากินและพบปะเพื่อนฝูงเก่าๆ และเพื่อรอเวลากลับไปสวนน้ำในตอนบ่าย

บ่าย 3 โมงเศษๆ ผมกลับไปสวนน้ำตามเวลานัดรับ บ่าย 3 โมงครึ่ง(พวกเขารักษาเวลาได้ดีจริงๆ) พวกเขามาขึ้นรถด้วยท่าทางเหนื่อยๆ เพลียๆ แต่ยังร่าเริง แล้วผมก็พาพวกเขาตรงดิ่งกลับโรงแรม เซนทาร่ากะรน อ้อ..มีคนหนึ่ง ลงที่หน้าเซ็นทรัลในเมือง ฟังว่าจะบินเดี่ยวเพื่อไปหาประสบการณ์ ผมละเป็นห่วง เพราะหน้าตาแกยิ่งเหมือนชาวเกาหลีอยู่ด้วย กลัวว่า จะถูกพวกแท็กซี่ป้ายดำหลอกพาไปฟันที่ อาบ อบ นวด ซ่ะจริงๆ

ผมพาคณะมาถึงโรงแรม 5 โมงเศษ ทุกคนลงจากรถ ก่อนจะจากกัน ผมบอกพวกเขาว่า วันต่อๆไป จนถึงวันกลับ ผมอาจจะไม่ได้มาบริการอีกเพราะผมมีภารกิจอื่น แต่โทรหาผมได้ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อต้องการคำแนะนำหรือมีปัญหา และสัญญาว่าจะเล่าเรื่องของพวกเขา ที่เว็บไซต์ “ชำนาญ ณ.อันดามัน เล่าเรื่อง” ให้ได้อ่าน

แล้วผมก็ขับรถออกมา วันศุกร์ที 1ต.ค.พวกเขาไปเกาะราชาตอนเช้า ผมไปนครศรีธรรมราช ตอนค่ำ

เราเจอกันอีกใน Face Book หลังจากวันนั้น และคงจะได้เจอกันอีกบ่อยๆ ฝากความปรารถนาดีถึงทุกคนด้วยครับ หวังว่าคงจะได้ให้บริการ พวกคุณหรือใครก็ตามที่พวกคุณแนะนำมา ไม่ว่าจะเป็นการจองรถบริการ รับ-ส่ง,จองทัวร์ทะเล,ทัวร์เดินป่า,ทัวร์ตกปลา,จัดกรุ๊ปทัวร์,PrivateTour,จองโรงแรม,จองตั๋วเครื่องบินและจองเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ต่างๆ นึกถึง ชำนาญ ณ.อันดามัน แห่ง Layan Travel and Tour นะครับ ถือโอกาส โฆษณา ซ่ะเลย อิ..อิ..

สวัสดี