วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไปหาลมหนาวชมสาวภู ตอน5 ภูหินร่องกล้า ผาชูธง

*** ผาชูธงอันลือลั่น ในตำนาน "ยุทธการภูหินร่องกล้า" ที่เคยสร้างวีรชนและวีรบุรุษในอดีต***

จากด่าน(มีไว้เก็บเงิน)อุทยานฯด้านภูทับเบิก ด้วยเส้นทางที่คดเคี้ยว ลาดชันลงเขามาตลอด
หลายช่วง หลายตอนเป็นหลุม เป็นบ่อ ขรุขระ
ปราศจากการบำรุงรักษามาเนิ่นนานปี สองข้างทาง มีไม้เลื้อยและพงหญ้า
รุกล้ำออกมาบนผิวถนนรกรุงรัง คล้ายถนนร้าง!.. ยังสงสัยอยู่ว่าพวกนั้นเก็บเงิน เอาไปทำอะไร?..

ไม่มีรถสวนขึ้นมา มีแต่รถ CRVสีขาว ป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร คันเดียว ที่ขับตามหลังมาติดๆ
ผมช้า เขาช้า ผมเร็ว เขาเร็ว ไม่ยอมแซงแม้ว่า ผมให้สัญญาณไฟให้แซง จนผมรู้สึกเครียด
ไม่แน่ใจว่า เขาขอร่วมทาง หรือมีเจตนาอย่างอื่น!?..

ตอนแรก ผมสังเกตุเห็นรถคันนั้นจอดอยู่ที่หลังด่านตรวจนั่น
และเมื่อผมขับผ่านเขามา เขาก็ออกตามหลังมาทันที ผมมองคนในรถไม่เห็น
เพราะติดฟิล์มทึบ

เรามาได้คำตอบเมื่อ มาจอดที่หน้าค่าย พคท.ผมจอด เขาจอด เราลงจากรถ พวกเขา ลงจากรถ
ผมจับตามอง เห็น..ผู้หญิงสาว 2 คน อายุประมาณ 20 ต้นๆ คนหนึ่งเป็นคนขับ คนหนึ่งนั่งด้านข้าง
และ 2 ตา ยาย อายุเกิน 70 ลงมาจากที่นั่งตอนหลัง

เฮ้อ...เขาต้องการเราเป็นเพื่อนจริงๆ ผมยิ้มให้และทักทาย
พวกเขา มาจากกรุงเทพฯ และเป็นครั้งแรก บนเส้นทางสายนี้!..

จุดแรก ถ้าเรามาจากเส้นทาง ภูทับเบิก-นครไทย คือ โรงเรียนการเมืองการทหาร
ค่ายใหญ่ของ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท)บนภูหินร่องกล้า เมื่อหลายสิบปีก่อน

ป้ายบอกเรื่องราวต่างๆ จัดทำโดยทางการ

สถานที่พักของสหาย คลังอาวุธ โรงพยาบาล ในยุคนั้น
ซึ่งยังคงสภาพไว้ได้ดีพอสมควร

กระท่อมเหล่านั้น ปลูกสร้างไว้เป็นระเบียบ ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ใบบัง พรางตา

กระท่อม มุงด้วยแผ่นไม้กระดานและกั้นด้วยแผ่นไม้กระดานเช่นกัน
หน้าหนาว พวกเขาคงต้องทนทุกข์ ทรมานอย่างมาก




เขาเขียนไว้ว่า บ้านพักหมอ-พยาบาล เป็นโรงพยาบาล
ผมเข้าใจว่า คงจะมีวิญญาณของสหาย วนเวียนอยู่เป็นจำนวนมาก
ผมระลึกย้อนหลังกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่นี่คงมีแต่เลือด คนเจ็บและคนตาย
ผมพิจารณาด้วยความสลดใจและหนาว!!!! ยะเยือก

ซากเครื่องจักรกลหนัก ที่เกิดจากความขัดแย้ง ทางด้านอุดมการณ์

ขนาดเหล็ก ยังเละขนาดนี้ แล้วคนบังคับในขณะนั้น จะเป็นอย่างไร??

เราออกมาจาก ค่ายโรงเรียนการเมืองการทหาร ขับรถมาประมาณ 15 นาที
เข้ามาถึงจุดที่เป็นจุดเริ่มต้น การเดินศึกษา ภูหินร่องกล้าที่แท้จริง
บริเวณนี้ มีลานจอดรถ มีร้านค้า ร้านอาหาร มีห้องน้ำไว้บริการนักท่องเที่ยว ครบครัน

มีแผนที่ขนาดใหญ่ บอกเส้นทางเดินไปยังจุดสำคัญ
เช่น โรงเรียนการเมืองการทหาร สุสานสหาย ลานหินปุ่ม ผาชูธง และจุดชมวิว

มีป้ายบอกทิศทาง จุดหมายและระยะทาง

ที่นี่ สุสานสหาย ที่เสียชีวิตจากการรบกับทหารไทย เมื่อครั้งกระโน้น
ผมแวะเข้ามาคนเดียว คารวะและจุดบุหรี่เสียบไว้ให้หนึ่งมวน พร้อมกับบอกกล่าว
รู้สึกขนลุกซู่...เหมือนเขารับรู้!..

ตัวตาย ร่างกายถูกกลบฝัง ละลายกลายเป็นธาตุทั้งสี่
แต่...อุดมการณ์ ยังคงอยู่

บนเส้นทางเดิน ที่ผมตั้งเป้าไปที่ลานหินปุ่ม

บนเส้นทางไปลานหินปุ่ม นักท่องเที่ยวมากมาย

เริ่มเข้าสู่บริเวณ ลานหินปุ่ม

บนลานหินปุ่ม ด้านซ้ายมือเป็นหน้าผาสูงลิบลิ่ว และ 3 คนที่มากับ CRVสีขาว คันนั้น!..

3 คนที่ด้านหลังผมนั่นแหละ ที่มากับCRVสีขาว ขับติดหลังเรามาจากด่านภูทับเบิก
ส่วนคุณตานั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ อีกมุม

ผาชูธง ถ่ายจากระยะไกล

อีกมุมมองของ ภูหินร่องกล้า จากลานหินปุ่ม


และในที่สุดผมก็มาถึง "ผาชูธง" จนได้

ในความรู้สึก ลึก ลึก ส่วนตัวของผม
เมื่อหลายสิบปีก่อน ถ้ากำลังทหาร ตีตรงนี้ไม่แตก ยึดตรงนี้ ไม่ได้...
เราคงไม่ได้เห็น ธงสีนี้ บนหน้าผานี้ มาจนถึงปัจจุบันนี้แน่.

---------------------------------

หมายเหตุ...เสียดายเป็นอย่างยิ่ง ภาพส่วนใหญ่และคลิปวีดีโอ ที่ภูหินร่องกล้า ที่ภูทับเบิก ที่นครไทย ที่พิษณุโลก สิงห์บุรี อ่างทอง อยุทธยา ดอนหอยหลอด อัมพวา ภาพจากงานสัมมนาวิชาการ 30 ปี นสพ.พลังชน ที่นครปฐม และที่สำคัญที่สุดคือภาพชมสาวภู มันลบไปจาก Document หมดเลย กู้กลับไม่ได้ ที่เหลื่อบางส่วนนี้ ผมทำเป็นฉบับร่างไว้ในบล็อก จึงรอดมาได้

ความจริงเรื่องเล่าทริปนี้ ควรจะมีถึง 10 ตอน แต่จำเป็นต้องจบแค่นี้
ถ้าเล่าแบบไม่มีภาพประกอบ ผมเล่าไม่ออก ถึงเล่าได้ก็ไม่ได้อรรถรส
ผมมีนิสัยเสียอยู่อย่างคือ ไม่ชอบจดบันทึก จึงลำดับเรื่องกับภาพ
ถ้าไม่มีภาพ ผมนึกไม่ออกว่าตอนไหน ทำอะไรบ้าง!..

ขอจบเรื่อง "ไปหาลมหนาวชมสาวภู" ไว้เพียงตอนนี้
ถือเป็นการส่งท้ายปีเก่า 2553
ต้อนรับปีใหม่ 2554

และขอถือโอกาสนี้ อวยพรปีใหม่ ให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน
จงประสบแต่ความสุขความเจริญ โชคดีมีทรัพย์ตลอดปี

ไว้คอยติดตาม เรื่องอื่นๆ ในโอกาสต่อไป...

ขอขอบคุณทุกท่าน ที่เสียเวลาอ่านเรื่องโม้ของผม
...ด้วยความจริงใจ...ของ..ชำนาญ ณ.อันดามัน

สวัสดี
---------------------

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไปหาลมหนาวชมสาวภู ตอน4 ขึ้นภูทับเบิก

วันที่ 7 ธันวาคม 53 ตอนเช้าแก่ๆ พวกเราสามหนุ่ม(เหลือน้อย)
ก็กลับมาถึงตึกกิโลเมตร(เน้นคำว่าตึก) ที่จุดเริ่มต้นขึ้น"ภูทับเบิก"อีกครั้ง

ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่(แต่ไม่มั่นคง) ว่าคืนนี้จะต้องให้ลมหนาวบน "ภูทับเบิก"กอดให้จงได้ ถ้าไม่สำเร็จ ชำนาญ ณ.อันดามัน จะเอาเรื่องอะไรมาโม้ให้ท่านทั้งหลายได้อ่านกันเล่า!!!

เมื่อขับรถขึ้นมาด้วยความหวาดเสียวบนความคดเคี้ยวและลาดชันของถนนสาย"ภูทับเบิก"
ประมาณครึ่งของระยะทาง เราพบกับหมู่บ้านชาวเขาหมู่บ้านแรก
เห็นเด็กๆชาวม้ง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ๆ ทุกคน

ผมมารู้ทีหลังว่า วันนี้เป็นวันปีใหม่ของชาวม้ง
ตามหมู่บ้านต่างๆ จะมีกิจกรรมมากมาย ทั้งการแข่งขันกีฬา การละเล่นพื้นบ้านและการบันเทิง
งานปีใหม่ของชาวม้ง จะมีปีละ 7 วัน ปีนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ถึง13ธันวาคม

เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เก็บภาพกิจกรรมต่างๆมาฝากท่านผู้อ่าน
แม้กระทั่งภาพ วิถีชีวิตของพวกเขา เพราะมัวเน้นไปทางภาพวิวธรรมชาติ อย่างเดียว พลาดจนได้!..

เกือบชั่วโมง ที่มีแต่ขึ้น ขึ้นและขึ้น แล้วก็โค้ง โค้งและโค้ง
จนกระทั่งถึงจุดพักรถ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองทัศน์วิสัยได้ในมุมกว้าง สุดลูกตา
ภาพที่เห็นยากจะบรรยายจริงๆ

หากท่านที่ได้เคย ขึ้นภูทับเบิก จากทางด้านนี้
คงยืนยันได้ถึงความงดงามของทัศนีย์ภาพจากมุมมองนี้

ภูเสียดฟ้า หวิว เวิ้งว้าง เส้นทางคดเคี้ยว เลี้ยวลด

สูง ชัน คดเคี้ยวขนาดนี้ ขับขี่ขึ้นมาได้อย่างไร?..

ชาวภู มองชาวราบ ที่ไกลลิบ ลิบ

กำแพงเมืองจีน ก็มิปาน

ทุกที่ทางมีชุมชน มีผู้คน มีมนุษย์ แต่...ห่างไกลเหลือเกิน

ชอบมุมนี้มากที่สุด อยากมาซุกตัวเงียบๆ สักชั่วครู่ ชั่วยาม
ณ.หุบใด หุบหนึ่ง เพื่อปรุงแต่งกาย ใจ ให้สงบ ระงับ จากความสับสนวุ่นวาย ทั้งหลายทั้งปวง
ที่พื้นราบ ริมฝั่งทะเล แต่..เพียงแค่คิด!..

สูงขึ้นมาจากระดับน้ำทะเล 1,667 เมตร อากาศเบาบาง หายใจยาก
น้ำหนักตัวเหมือนจะน้อยลง คล้ายมีวิชาตัวเบา หรือเป็นอุปทาน!?

ตรงขึ้นไป อุทยานแห่งชาติ ภูหินร่องกล้า เลี้ยวขวา เข้าภูทับเบิก

และนี่คือ..จุดแรกบน "ภูทับเบิก" ที่ปราถนาจะมาให้ถึงสักครั้งในชีวิต
ณ.จุดขาวๆ สุดถนนนั่น ที่เราตั้งใจว่า..จะค้างคืน

มองไปรอบๆ มีแต่ไร่กะหล่ำปลี สุดลูกหู ลูกตา
จากการหาข้อมูล ถ้ามาซื้อที่ไร่ ก.ก.ล่ะ 2.50 บาท ถึง 3 บาท เท่านั้น

ที่พวกเรา ตกลงกันว่า จะไปนอนให้ลมหนาวกอดบนยอดภูตรงสุดถนนนั่น
เพราะสามารถมองทิวทัศน์ได้ 360 องศา ไม่ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก

เมื่อเรามาถึงจุดที่ต้องการพักค้างคืน มองกลับไปที่จุดแรกเมื่อเรามาถึง

บนยอดสุดนั่น เต็นท์ที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกและนักท่องเที่ยว
จากทั่วสารทิศของประเทศไทย หลากหลายสำเนียงคลาคล่ำ นับว่าเป็นจุดที่ดี ที่สุด
แต่..ไม่ใช่วันนี้แน่นอน.

ที่นี่ เราเช่าเต็นท์ที่พัก หลังเล็ก3หลัง หลังละ 300 บาท โดยจ่ายเงินไว้ครบ
ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าที่นี่แหละ..ใช่เลย..
แล้วออกไปตระเวณเพื่อหาอาหารเที่ยง ใส่ท้อง

ขับรถเลาะลัดตามถนนคดเคี้ยวไปบนยอดภู เพื่อหาร้านอาหารที่ถูกใจสักร้าน..
ไม่มี!...

สุดท้าย กลับมาทางเดิมและคิดว่าร้านนี้ เพียงร้านเดียวที่เหมาะสมในขณะเวลานี้
จัดการเข้าไปหาที่นั่ง ในมุมที่สวยที่สุด และขอเมนู...

ไล่ดูทุกหน้า ส่วนใหญ่เป็นอาหารประเภทผักและเน้นที่กะหล่ำปลี!..
แต่..ที่สะดุดความรู้สึกมากๆ ก็ที่เมนู ผัดกะหล่ำปลี จานล่ะ 160 บาท
พวกเราทั้ง 3 คนไม่ได้เมาครับ พี่น้อง ภูทับเบิกทั้งภู เต็มไปด้วยไร่กะหล่ำปลี กิโลฯล่ะ 3 บาท
แต่ทำไม???? ผัดกะหล่ำปลีหนึ่งจาน ราคาถึงได้หฤโหดขนาดนี้

ใครๆ ก็รู้ว่า ที่ภูเก็ต ราคาอาหารมหาโหดแล้ว แต่เมื่อมาเจอที่ร้านนี่...ที่ภูทับเบิกนี่..
พวกเราทั้ง 3 คน หนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ ยิ่งกว่าลมหนาวบนภูที่พัดมา ยามเที่ยง...

ขอโทษ..เราลุกเดินออกจากร้าน หายหิวเป็นปลิดทิ้ง ขับรถกลับไปยังที่เช่าเต็นท์ ขอคืนมัดจำ
บอกเหตุผลเขาว่า ต้องกลับกรุงเทพฯด่วน ค่อยมาใช้บริการโอกาสหน้า

เขาก็ดีใจหาย คืนให้ แต่..หักไว้หลังล่ะ100บาท สามหลังก็ 300 เราได้มัดจำคืน 600 ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า..
สะใจ และ สมน้ำหน้า ความตั้งใจพังภินทร์...
ลาก่อนภูทับเบิก..ที่แสนรัก..แต่..จำใจต้องลาจาก หากมีโอกาส จะกลับมาหาเจ้าอีก...

แล้วเราก็กลับออกมาถนนสายหลัก เพื่อมุงหน้าขึ้นไป "ภูหินร่องกล้า" เป็นจุดหมายต่อไป

แต่..ขอเตือน ที่ด่านตรวจ ต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานฯให้เขา
คนล่ะ 30 บาท รถยนต์คันล่ะ 40 บาท โดยไม่มีข้อแม้ครับผม..

*** คอยติดตาม ไปหาลมหนาวชมสาวภู ตอน5 ภูหินร่องกล้า ผาชูธง ***

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไปหาลมหนาวชมสาวภู ตอน3 หล่มสัก-หล่มเก่า-น้ำหนาว

*** ภาพนี้ ที่จุดชมดวงอาทิตย์ เมื่อออกมาจากน้ำหนาว ตอนเช้าวันที่ 7 ธ.ค. ***

ตอนนี้น่าจะยาวสักหน่อย เพราะเรื่องราวมันพัวพัน พันพัวนัวเนีย รุงรัง ตั้งแต่เย็นวันที่ 5 มาวันที่ 6 แล้วเลย ไปถึงเช้าวันที่ 7 โน่น จะเห็นว่าหลายภาพวันที่ 5 บ้าง 6 บ้าง 7 บ้าง เลือกถ่ายเอาตามความเหมาะสมของแสงและมุม(นี่..โม้ ยังกะมือโปรฯเลย) จะตัดบางภาพทิ้งไป ก็เสียดาย อุตสาห์เก็บภาพมามากมาย ก็ต้องขยายความไปตามภาพ

*** ภาพนี้ ถ่ายเช้าวันที่ 6 ธ.ค. ***

นี่คือโรงแรมที่ดี ที่สุดของ อ.หล่มสัก เมื่อพวกผมมาถึง ตอนเย็นของวันที่ 5 เขาบอกว่าห้องเต็ม วิงวอนแทบกราบไหว้ และยังต้องหน้าด้านควักบัตรผู้สื่อข่าวให้เขาดูอีกด้วย เขาจึงได้เจียดห้องพักมา 1 ห้อง หมอน2 ผ้าห่ม2 แต่ต้องนอน 3 คน

รถนักท่องเที่ยว ป้ายทะเบียนต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งรถบัสป้ายพัทลุงด้วย เต็มลานจอด หน้าโรงแรม เมื่อพวกผมมาถึง ตอนเย็นวันที่ 5 หลังจากหาที่กินเหล้าไม่ได้

จากบนห้องพักชั้น4 ผมไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายภาพตัวเมืองหล่มสัก แต่ตั้งใจจะถ่าย แนวภูเขาที่มองเห็นไกลๆ โน่น และมีคำถามว่า เป็นภูอะไร? แต่ก็ไม่มีคำตอบจากใคร และไม่กล้าไปถามพนักงานโรงแรมด้วย เพราะมันเสี่ยงกับการถูกขอห้องคืน ในข้อหา..สงสัยไม่เข้าเรื่อง อิ..อิ..

แต่ก็พยายามถ่ายไว้หลายภาพ และยืนอยู่มุมนั้นจนมืด ไม่รู้ว่าภูอะไร ก็ชั่งหัวมัน ยังไงมันก็สวยงามเมื่อยามตะวันลับไป
อาจจะเป็นเพราะว่า ผมเคยชินกับบรรยากาศ ตะวันลับขอบทะเลก็เป็นได้ จึงได้ประทับใจกับบรรยากาศ ตะวันลับทิวภูเอามากๆ

*** ริมคลองที่เปลี่ยนไป เราจำไม่ได้ ***

เช้าของวันที่ 6 ธ.ค.หลังจากเสร็จสิ้นอาหารเช้าที่โรงแรม
ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้บริการ เพราะเขาบวกกับค่าห้องไว้แล้ว
พวกเราย้อนหลังกลับไปที่ อ.หล่มเก่าอีกครั้ง ด้วยระยะทาง 10 กว่ากิโลเมตร ไม่ใช่จะไปขึ้น
ภูทับเบิก แต่ด้วยเหตุผลแค่ไปกินขนมจีนหล่มเก่า ที่มีชื่อเสียงและเคยกินเมื่อครั้งก่อนเกือบสิบปีมาแล้วเท่านั้น
สาบานว่า พวกเราไม่ได้เมาค้าง เพราะเมื่อคืนไม่ได้แตะต้องแอลกอร์ฮอล์เลย
เมื่อมาถึง ก็ต้องขับรถวนและถามเขาไปทั่วเมือง(เล็กๆ) ว่าร้านขนมจีนร้านนั้นอยู่ตรงไหน?
เพราะที่ ที่เราเคยมาเมื่อครั้งนั้น มันไม่มีแล้ว ผมจำได้ว่ามันอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ริมคลอง
แต่เมื่อมาครั้งนี้ ต้นมะขามริมคลองมันหายไปหมดแล้ว กลายเป็นเขื่อนคอนกรีตแทน

สุดท้าย ก็ไม่เกินความพยายามของคนบ้าอย่างพวกเรา
หาจนเจอร้านขนมจีน ปรับปรุงใหม่ มีชื่อร้าน ซึ่งแต่ก่อนที่อยู่ใต้ต้นมะขาม ไม่มีชื่อร้าน

ยุคปรับปรุงใหม่ ภายใน สะอาดสะอ้าน จัดโต๊ะเป็นระเบียบเรียบร้อย
มีหม้อน้ำแกงวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

*** น้ำแกงตักราดเอาเองตามอัธยาศัยแบบภูเก็ต ***

พวกเรากินขนมจีนกันคนละจาน!!! คนละจานจริงๆ ให้ดิ้นตายสิ..ไม่ใช่ ไม่อร่อย
แต่พวกเราเพิ่งกิน กาแฟ น้ำส้มคั้น ขนมปัง ไข่ดาว แฮมส์และไส้กรอก จากโรงแรม มาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงนี่เอง แล้วจะยัดไปไว้ตรงไหน???

*** เขาจัดจานขนมจีน น่าดูมากกว่าน่ากิน ***

ออกจากร้านหนมจีนมาด้วยความอิ่มอก อิ่มใจและภาคภูมิใจกันนักหนา
ว่า..ข้าฯได้กินหนมจีนหล่มเก่าแล้วโว้ย!!!
ไอ้บ้ากันทั้ง3คนนั่นแหละ ทุเรศ!???
ขับรถกินลม ชมวิว กลับไปหล่มสักอีกครั้ง ทำไม?..
ตั้งใจจะไปบ้านเจ้า ชาง ซาไก ที่ขอนแก่น โน่น
แต่ ณ.เวลานั้น เจ้าชาง ซาไก ยังติดภารกิจอยู่ที่กรุงเทพฯ จะกลับถึงขอนแก่นในวันรุ่งขึ้น
เราไปถึงขอนแก่นก่อนจะเป็นไรไป นั่งตาก ลมหนาว ซดเหล้ากับเสี่ยวของผม(ที่มีอยู่หลายคน) บนบ้านริมน้ำของเจ้าชาง เหมือนเมื่อ เดือน มกราฯที่ผ่านมา ก็ไม่เลว

*** ภาพนี้ ถ่ายเช้าวันที่ 7 เพราะบ่ายวันที่ 6 คนยั้วเยี้ย ***

เราตุหรัดตุเหร่ มาบนถนนสายหล่มสัก-ชุมแพ จนถึงปากทางเข้าอุทยานฯน้ำหนาว เห็นผู้คน
รถรามากมาย ผมตัดสินใจทันใด
เลี้ยวรถขวับเข้าไปจอดหน้าป้อมยาม เดินแถเข้าไปที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่กำลังมองที่ป้ายทะเบียนรถเรา ไม่ทันได้เอ่ยปาก
หมอทักเป็นภาษาใต้ทันทีและแนะนำตัวเองว่าตัวเขาอยู่ หน้าวัดพระนางสร้าง อ.ถลาง ภูเก็ต ซึ่งมันเป็นทางผ่านที่ผมไปหาดลายันทุกวัน เท่านั้นแหละข้อมูลทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมาโดยที่ผมไม่ต้องถามและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ไม่ต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานฯ 

พวกผมจึงตกลงกันว่า จะลองเข้าไปเที่ยวทัศนาภายในบริเวณอุทยานฯ สักพักแล้วค่อยออกมา
ยังมีเวลามากมาย สำหรับการไป ขอนแก่น



*** ร้านขายเหล้า ร้านแรกซ้ายมือนั่นแหละ ที่พวกเราพบกับสาวภูรายแรก เธอชื่อน้องจอย ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า..***

เมื่อเข้ามาเห็นบรรยากาศอันคึกคัก ในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีร้านอาหารมากมาย ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว ทำเอาพวกผมเปลี่ยนใจจากการเข้ามาดูสักพัก กลายเป็นไปติดต่อขอเช่าบ้านพักนอนค้างคืนแทน เพื่อสูดกลิ่นไอป่าและท้าลมหนาว
แต่ปรากฏว่าบ้านพักเต็มหมด จึงได้เป็นเต็นท์หลังใหญ่แทน
ก็ดีเหมือนกัน จะได้นอนกลางดิน กินกลางทราย ได้บรรยากาศไปอีกแบบ

พวกเราได้เต็นท์หลังใหญ่ ที่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯกางไว้แล้ว ลึกเข้าไปในป่าอยู่ริมลำห้วย
ที่เห็นลิบๆ ตามภาพ
 ใกล้กอไผ่ เงียบและไกลจากกลุ่มนักท่องเที่ยวอื่นๆ พอสมควร

เมื่อจัดการเอาสัมภาระบางส่วนเข้าเก็บในเต็นท์เป็นที่เรียบร้อย
พวกเรา 3 คนจึงได้ตกลงใจเดินเที่ยวป่าน้ำหนาวสักครั้ง เมื่อประมาณตอนบ่ายแก่ๆ

ด้วยเส้นทางที่ไม่ยากลำบากสักเท่าไหร่ แต่มีนักท่องเที่ยวเดินไม่มากนัก
พวกเราค่อยๆเดินชมธรรมชาติด้วยความไม่รีบร้อน

บนเส้นทางเดิน ธรรมชาติของป่าน้ำหนาวยังสมบูรณ์พอสมควร

นักส่องนก ที่ลึกเข้ามาประมาณ 2 กิโลเมตร


ที่หน้าเต็นท์ ของค่ำคืนในความหนาวที่อุณหภูมิ 18 องศา หลังจากเราย้ายมาจากร้านเหล้า
ของน้องจอย สาวภูคนนั้น เมื่อตอนสามทุ่มเศษ และเมื่อเธอปิดร้านตอนสี่ทุ่ม เธอก็มาร่วมเสวนากับพวกเรา ด้วยเหตุผลว่าเธอชอบคนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนมีหนวด อึ๊ยยยย..บรือ.....

เธอเป็นคนถ่ายภาพนี้ให้พวกเราและอีกหลายภาพ แต่เมื่อผมจะขอถ่ายภาพเธอไว้เป็นที่ระลึกบ้าง
เธอไม่อนุญาต ผมจึงไม่ได้เอาภาพของเธอมาอวดแฟนๆ ให้ได้ขนลุก ขนพอง

ความจริงเธอจะขอนอนกับพวกเราด้วย แต่ผมบอกว่าให้เธอกลับไปนอนรอที่ร้านเถอะ ตอนดึกๆ ผมจะตามไป เธอจึงได้กระฟัด กระเฟียดกลับไปตอนเกือบเที่ยงคืน ก่อนจากไปเธอพูดกับผมแบบน้อยเนื้อต่ำใจว่า"คนใต้ใจดำ คนใต้น่ากัววว" ส่วนผมนอนสะดุ้ง ผวาทั้งคืน กลัวเธอจะกลับมาชวนผมเข้ากอไผ่!!

เช้าวันที่ 7 ธ.ค.ความจริง สายมากแล้ว เราออกมาจากอุทยานฯเลี้ยวขวาย้อนกลับไป
ตามถนนไปหล่มสัก แวะขึ้นไปที่จุดดูพระอาทิตย์ขึ้น

ขนาดว่าสายแล้ว พวกเราก็ไม่ผิดหวัง กับความงดงามที่ได้สัมผัส

ขอให้ได้ซึมซับความงามโดยทั่วกัน

ภาพนี้ ผมถ่ายจากชั้นที่ 2 ของหอชมวิว

หอชมวิว ซึ่งผมมีปัญญาขึ้นไปได้แค่ชั้นที่ 2 เท่านั้น แฮะ..แฮะ..

เมื่อลงมาจากจุดชมพระอาทิตย์
พวกเราเปลี่ยนใจจากการไปขอนแก่น อีกแล้วครับท่าน (ใจง่าย หลายใจ) โดยย้อนกลับมาทางหล่มสัก เพื่อไปขึ้น "ภูทับเบิก" ให้ได้ในวันนี้
เราข้ามสะพาน "พ่อขุนเม็งราย" ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่แปลก ที่สุดในประเทศไทย
แปลกยังไง ท่านผู้ชมไปค้นคว้าเอาเองนะครับ

และที่จุดพักรถ ริมหน้าผาสูง เมื่อข้าม "สะพานพ่อขุนเม็งราย" มาไม่ไกล
เราหยุดชม สินค้า ของฝาก หลากหลายมากมาย สำหรับนักท่องเที่ยว และพูดคุยกับผู้ค้าขาย
ถึงวิถีชีวิต อาชีพ การเป็นอยู่ เศรษฐกิจ แต่ยกเว้นไม่พูดเรื่องการเมือง เพราะกลัวความขัดแย้งจะเกิดขึ้น และผมแน่ใจว่าเราคงจะออกจากที่นั้นยากแน่ๆ
-----------------------

คลิปวีดีโอ การเดินป่าน้ำหนาว บางช่วงบางตอน

 


*** คอยติดตาม ไปหาลมหนาวชมสาวภู ตอน4 ขึ้นภูทับเบิก ***
-----------------------