วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไปหาลมหนาวชมสาวภู ตอน4 ขึ้นภูทับเบิก

วันที่ 7 ธันวาคม 53 ตอนเช้าแก่ๆ พวกเราสามหนุ่ม(เหลือน้อย)
ก็กลับมาถึงตึกกิโลเมตร(เน้นคำว่าตึก) ที่จุดเริ่มต้นขึ้น"ภูทับเบิก"อีกครั้ง

ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่(แต่ไม่มั่นคง) ว่าคืนนี้จะต้องให้ลมหนาวบน "ภูทับเบิก"กอดให้จงได้ ถ้าไม่สำเร็จ ชำนาญ ณ.อันดามัน จะเอาเรื่องอะไรมาโม้ให้ท่านทั้งหลายได้อ่านกันเล่า!!!

เมื่อขับรถขึ้นมาด้วยความหวาดเสียวบนความคดเคี้ยวและลาดชันของถนนสาย"ภูทับเบิก"
ประมาณครึ่งของระยะทาง เราพบกับหมู่บ้านชาวเขาหมู่บ้านแรก
เห็นเด็กๆชาวม้ง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ๆ ทุกคน

ผมมารู้ทีหลังว่า วันนี้เป็นวันปีใหม่ของชาวม้ง
ตามหมู่บ้านต่างๆ จะมีกิจกรรมมากมาย ทั้งการแข่งขันกีฬา การละเล่นพื้นบ้านและการบันเทิง
งานปีใหม่ของชาวม้ง จะมีปีละ 7 วัน ปีนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ถึง13ธันวาคม

เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เก็บภาพกิจกรรมต่างๆมาฝากท่านผู้อ่าน
แม้กระทั่งภาพ วิถีชีวิตของพวกเขา เพราะมัวเน้นไปทางภาพวิวธรรมชาติ อย่างเดียว พลาดจนได้!..

เกือบชั่วโมง ที่มีแต่ขึ้น ขึ้นและขึ้น แล้วก็โค้ง โค้งและโค้ง
จนกระทั่งถึงจุดพักรถ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองทัศน์วิสัยได้ในมุมกว้าง สุดลูกตา
ภาพที่เห็นยากจะบรรยายจริงๆ

หากท่านที่ได้เคย ขึ้นภูทับเบิก จากทางด้านนี้
คงยืนยันได้ถึงความงดงามของทัศนีย์ภาพจากมุมมองนี้

ภูเสียดฟ้า หวิว เวิ้งว้าง เส้นทางคดเคี้ยว เลี้ยวลด

สูง ชัน คดเคี้ยวขนาดนี้ ขับขี่ขึ้นมาได้อย่างไร?..

ชาวภู มองชาวราบ ที่ไกลลิบ ลิบ

กำแพงเมืองจีน ก็มิปาน

ทุกที่ทางมีชุมชน มีผู้คน มีมนุษย์ แต่...ห่างไกลเหลือเกิน

ชอบมุมนี้มากที่สุด อยากมาซุกตัวเงียบๆ สักชั่วครู่ ชั่วยาม
ณ.หุบใด หุบหนึ่ง เพื่อปรุงแต่งกาย ใจ ให้สงบ ระงับ จากความสับสนวุ่นวาย ทั้งหลายทั้งปวง
ที่พื้นราบ ริมฝั่งทะเล แต่..เพียงแค่คิด!..

สูงขึ้นมาจากระดับน้ำทะเล 1,667 เมตร อากาศเบาบาง หายใจยาก
น้ำหนักตัวเหมือนจะน้อยลง คล้ายมีวิชาตัวเบา หรือเป็นอุปทาน!?

ตรงขึ้นไป อุทยานแห่งชาติ ภูหินร่องกล้า เลี้ยวขวา เข้าภูทับเบิก

และนี่คือ..จุดแรกบน "ภูทับเบิก" ที่ปราถนาจะมาให้ถึงสักครั้งในชีวิต
ณ.จุดขาวๆ สุดถนนนั่น ที่เราตั้งใจว่า..จะค้างคืน

มองไปรอบๆ มีแต่ไร่กะหล่ำปลี สุดลูกหู ลูกตา
จากการหาข้อมูล ถ้ามาซื้อที่ไร่ ก.ก.ล่ะ 2.50 บาท ถึง 3 บาท เท่านั้น

ที่พวกเรา ตกลงกันว่า จะไปนอนให้ลมหนาวกอดบนยอดภูตรงสุดถนนนั่น
เพราะสามารถมองทิวทัศน์ได้ 360 องศา ไม่ว่าดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก

เมื่อเรามาถึงจุดที่ต้องการพักค้างคืน มองกลับไปที่จุดแรกเมื่อเรามาถึง

บนยอดสุดนั่น เต็นท์ที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกและนักท่องเที่ยว
จากทั่วสารทิศของประเทศไทย หลากหลายสำเนียงคลาคล่ำ นับว่าเป็นจุดที่ดี ที่สุด
แต่..ไม่ใช่วันนี้แน่นอน.

ที่นี่ เราเช่าเต็นท์ที่พัก หลังเล็ก3หลัง หลังละ 300 บาท โดยจ่ายเงินไว้ครบ
ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าที่นี่แหละ..ใช่เลย..
แล้วออกไปตระเวณเพื่อหาอาหารเที่ยง ใส่ท้อง

ขับรถเลาะลัดตามถนนคดเคี้ยวไปบนยอดภู เพื่อหาร้านอาหารที่ถูกใจสักร้าน..
ไม่มี!...

สุดท้าย กลับมาทางเดิมและคิดว่าร้านนี้ เพียงร้านเดียวที่เหมาะสมในขณะเวลานี้
จัดการเข้าไปหาที่นั่ง ในมุมที่สวยที่สุด และขอเมนู...

ไล่ดูทุกหน้า ส่วนใหญ่เป็นอาหารประเภทผักและเน้นที่กะหล่ำปลี!..
แต่..ที่สะดุดความรู้สึกมากๆ ก็ที่เมนู ผัดกะหล่ำปลี จานล่ะ 160 บาท
พวกเราทั้ง 3 คนไม่ได้เมาครับ พี่น้อง ภูทับเบิกทั้งภู เต็มไปด้วยไร่กะหล่ำปลี กิโลฯล่ะ 3 บาท
แต่ทำไม???? ผัดกะหล่ำปลีหนึ่งจาน ราคาถึงได้หฤโหดขนาดนี้

ใครๆ ก็รู้ว่า ที่ภูเก็ต ราคาอาหารมหาโหดแล้ว แต่เมื่อมาเจอที่ร้านนี่...ที่ภูทับเบิกนี่..
พวกเราทั้ง 3 คน หนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ ยิ่งกว่าลมหนาวบนภูที่พัดมา ยามเที่ยง...

ขอโทษ..เราลุกเดินออกจากร้าน หายหิวเป็นปลิดทิ้ง ขับรถกลับไปยังที่เช่าเต็นท์ ขอคืนมัดจำ
บอกเหตุผลเขาว่า ต้องกลับกรุงเทพฯด่วน ค่อยมาใช้บริการโอกาสหน้า

เขาก็ดีใจหาย คืนให้ แต่..หักไว้หลังล่ะ100บาท สามหลังก็ 300 เราได้มัดจำคืน 600 ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า..
สะใจ และ สมน้ำหน้า ความตั้งใจพังภินทร์...
ลาก่อนภูทับเบิก..ที่แสนรัก..แต่..จำใจต้องลาจาก หากมีโอกาส จะกลับมาหาเจ้าอีก...

แล้วเราก็กลับออกมาถนนสายหลัก เพื่อมุงหน้าขึ้นไป "ภูหินร่องกล้า" เป็นจุดหมายต่อไป

แต่..ขอเตือน ที่ด่านตรวจ ต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานฯให้เขา
คนล่ะ 30 บาท รถยนต์คันล่ะ 40 บาท โดยไม่มีข้อแม้ครับผม..

*** คอยติดตาม ไปหาลมหนาวชมสาวภู ตอน5 ภูหินร่องกล้า ผาชูธง ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน