วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไปหาลมหนาวชมสาวภู ตอน2 พิพิธภัณฑ์ยุทธการเขาค้อ

ประตูทางเข้าฐานปฏิบัติการ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นมากมาย

จากพระตำหนักเขาค้อ ด้วยถนนขึ้นเขาสูงชัน คดเตี้ยว อย่างน่าหวาดเสียว
(ขอเตือนด้วยความปราถนาดีว่า ถ้าสมรรถนะของรถไม่ดีพอ โปรดอย่าเสี่ยงขับขึ้นไปเด็ดขาด)
ผมก็ขึ้นมาถึงพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เก็บหลายๆอย่างจากการเปิดยุทธการ ปราบปราบฐานที่มั่นสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแห่งนั้น
ซึ่งจากการที่ได้เห็นซากของพวกนั้นหลายอย่าง ทำให้รู้สึกเศร้าใจอย่างยากจะบอกจริงๆ

ช่วยกันสนับสนุนปัจจัย ท่านล่ะ 10 บาท ก่อนเข้าไป

แดดเปรี้ยง แต่..หนาวๆๆๆ

นักท่องเที่ยว หลากหลายวัย(ซึ่งไม่ใช่สาวภู) จากหลากหลายที่มา

จะเห็นได้ว่า ยานปีกหมุนลำนี้ พรุนไปด้วยรอยกระสุน

อีกหนึ่งยานรบ

อาวุธ ร้ายทรงอานุภาพ ที่ไม่อยากบันทึกว่าชื่ออะไร

อันนี้ก็เป็นหนึ่งในจำนวน หลากหลาย อาวุธร้าย

อีกหนึ่ง

ลำนี้ ก็คงพาทหารหาญ ไปตายสังเวยความคิดที่แตกต่าง หลายนายแน่ๆ

พื้นที่ยุทธการจำลอง บริเวณหุบเขาค้อ

ยูนิฟอร์ม ของทหารในครั้งนั้น ลองสังเกตุดูว่าเป็นของใครกันบ้าง?

นี่ก็เช่นกัน

จอบ,เสียม,มีด,พร้า,ที่ใช้ประหัตประหารกันในครั้งนั้น

ในตู้นี้ ที่พวกเขาเรียกกันว่าของ ฝ่ายศรัตรู

ร้านขายของที่ระลึกของสวัสดิการทหาร มีของจำหน่ายหลากหลาย แม้กระทั่ง บุหรี่ เหล้าและเบียร์
(เพื่อลดความหนาวว่าเข้าไปนั่น) ลูกค้าเข้าอุดหนุนคับคั่ง

ชุดลายพราง ก็ขายดี ผมอุดหนุน กาแฟกระป๋อง

เสื้อกันหนาว หลากสไตน์ สวยๆ ราคาพออุดหนุนได้

กิ๊ฟ ก็มีให้เลือกไปฝากสาวภู (ถ้าคุณมี)

 
ด้านล่าง ภายในหุบเขาค้อ แม้ยามเที่ยงก็ยังมีหมอก บ่งบอกถึงความหนาว

อีกมุมมอง ที่ไกลๆ ดูน่าหลงใหล

ออกจากพิพิธภัณฑ์ฐานปฏิบัติการ  ขึ้นมาที่อนุสาวรีย์ รถแน่นมาก จอดไม่ได้
ก็เลยถ่ายทั้งๆที่ขับรถขึ้เขายังงั้นแหละ

แถวๆนี้ แวะกินข้าวเที่ยง มองไปทางไหนก็เห็นรถ เห็นนักท่องเที่ยว เห็นเต๊นท์ เต็มไปทุกที่

มุมมอง จากร้านอาหารที่กินข้าวเที่ยง สวยมาก ตอนแรกคิดกันว่าจะค้างแถวนี้สักคืน
แต่เมื่อดูปริมาณ นักท่องเที่ยวกับเต๊นท์ที่มีจำนวนมากเหลือเกิน พวกเราก็เลยเปลี่ยนใจ

ขับรถออกมา จนเลยไร่ B.N. มาไกลพอสมควร แต่เปลี่ยนใจ กลับหัวรถ
ย้อนกลับไปและเข้าไปจนได้ จนได้ภาพ "กอไผ่สีทอง" กับหนุ่มสาวที่ผลัดเปลี่ยนกันถ่ายรูป
ไว้เป็นที่ระลึก

และ "ต้นสาละยักษ์" ที่มีนักท่องเที่ยว ผลัดกันเข้าไปยืนแอ็คท่าถ่ายรูป จนใต้โคนเป็นมันแผล๊บ
แต่ผมก็หาจังหวะ ถ่ายตอนไม่มีคน จนได้

เมื่อออกจากไร่ B.N. มาแล้ว ก็ตุหรัดตุเหร่มาทาง อ.หล่มสัก สักประมาณ บ่าย 2 โมงเศษ ผ่านทางแยกซ้ายมือ เขียนว่า "ไปภูทับเบิก" ผมตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายทันที
พรรคพวกถามว่า จะไปไหน? ผมบอกว่า "ภูทับเบิก" เห็นว่ากำลังดัง!
แต่ต้องหาที่เติมน้ำมันก่อน!..พรรคพวกบอกว่า เอาไง ก็เอากัน...
แต่ จนกระทั่งขับมาถึงทางแยกขึ้น "ภูทับเบิก" ก็ยังหาปั๊มน้ำมันไม่ได้
ดูเข็มวัด เหลือไม่ถึงครึ่งถัง!.. 
ทำยังไงดี? ผมตัดสินใจ ไหนๆก็ไหนๆ มาถึงนี่แล้ว เอาละว่ะ ขอลองขึ้นไปดูสักที!..
ขึ้นเขามาจากหลักกิโลฯใหญ่นั่น สักประมาณ 10 กิโลฯเห็นจะได้ ทางชันขึ้นทุกที ท้ายรถห้อยมากๆ จนกระทั่ง เข็มวัดตกลงมาจนเกือบถึงตัว E ชักใจไม่ดีแหะ!..
กลับกันดีกว่าโว้ย..พรรคพวก ไปตั้งหลักก่อนแล้วค่อยมาใหม่ ผมถอดใจ
ไม่มีใครค้านเลย อิ อิ...
แต่กว่าจะหาที่กลับหัวรถได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน
 เมื่อลงมาถึงปากทางแยก ผมเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง มุ่งไปยัง อ.หล่มเก่า เพื่อหาที่เติมน้ำมัน
จนแล้วจนรอดก็ไม่มี...
กระทั่ง..มาถึง ปั๊ม ปตท.บนเส้นทาง หล่มเก่า-หล่มสัก จึงได้หายใจทั่วท้อง
หลังจากนั้น ก็หาที่กินเหล้าครับพี่น้อง
แต่..อนิจจา วิบากกรรมของพวกเรายังไม่หมด
เพราะวันนี้ เป็นวันที่ 5 ธันวาคม ครับท่าน ถึงมีเหล้าอยู่ในรถ เขาก็ไม่ให้กินที่ร้านเขา เราจึงต้องอด
ยัง...ยังไม่หมด วิบากกรรม...
เมื่อมาถึงโรงแรมที่ดีที่สุดของ อ.หล่มสัก เลย 6 โมงเย็นนิดหน่อย เขาบอกว่า พวกคุณไม่ได้จอง..ห้องเต็ม!..เพราะกรุ๊ปทัวร์จากปักษ์ใต้...
ให้มันได้ยังงี้สิ...ต้องอ้อนวอน แทบจะไหว้ เขาจึงให้มาห้องหนึ่ง หมอน 2 ผ้าห่ม 2 นอนกัน 3 คน
ท่านลองทายซิว่า ใครต้องห่มผ้าปูเตียง?

*** คอยติดตาม ไปหาลมหนาวชมสาวภู ตอน3 น้ำหนาวกับสาวภู(ควาย) ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน