วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

เดินป่าเขาสก ทริปแรกของซีซั่น 2 วัน 1 คืน


ทัวร์ซีซั่น ปี2010 ชำนาญ ณ.อันดามัน พักยาว หลังจากที่ให้หมอผ่าตัดตา ควักเอาเลนส์หมา..เฮ้ย..เฮ้ย..เลนส์เทียมใส่แทนเลนส์แท้ที่แม่ให้มา กระทั่งหายดีเป็นปกติ สามารถแลลอดทะลุผ้าและเดินเข้าป่าได้เหมือนเดิม

ไฮน์ซีซั่น ปี 2010 ต่อ ปี 2011 ผ่านมาหลายเดือน เพิ่งจะมี ทริปค้างคืนเขาสก 2วัน 1คืน เป็นทริปแรก วันที่ 27-28 ม.ค. ยังเสียวๆอยู่ว่า เส้นสาย ข้อเข่า ของอาตมาที่ไม่ได้ใช้มานาน มันยังทำงานได้ดีเหมือนเดิมหรือไม่?..หรือจะต้องคลานสี่ขาตามหลังแขก แต่ถึงยังไงก็ต้องสู้จนใจขาดชีวาวาย ถึงจะตาย ก็ยอมถวายชีวี เพื่อ "มันนี่" ตัวเดียวแหละพี่น้องเอ๋ย..

เช้าวันที่ 27 ม.ค. รับลูกทัวร์ปาร์ตี้แรก 2ผู้ใหญ่ 1เด็ก แถวหาดในหาน แล้วข้ามเขาไปรับปาร์ตี้ที่สอง 4 ผู้ใหญ่ ที่แถวหาดกะรน ทั้ง 2 ปาร์ตี้เป็นสวีดิส ทริปนี้ มีเด็กฝึกงาน(Tranee) ติดไปด้วยหนึ่งคน ก็พอจะเบาแรงบ้างกับลูกทัวร์จำนวน 6+1 เด็ก และฝรั่งสวีเดนไม่น่าหนักใจเหมือนฝรั่งรัสเซีย

หยุดสาธยายอธิบายขายยา(โม้)ที่จุดแรกตามโปรแกรม ตั้งชื่อเรียกกันซะหรู ว่า "อนุสาวรีย์เรือสึนามิ" อยู่ที่เขาหลัก พังงา
เป็นเรือตำรวจน้ำ ลำที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิ จับเขวี้ยงมาจากจุดลอยลำในทะเลห่างออกไปจากชายหาด ประมาณ 3 กิโลเมตร
มาตั้งเด่นเป็นสง่า(แต่หมดราศี) อยู่บนเนินเขาริมป่า ห่างมาจากชายหาดลึกเข้ามาอีกประมาณ 2โลเมตร

หลังจากที่ผมโม้ให้ลูกทัวร์ฟังพอหอมปากหอมคอ ก็ปล่อยให้พวกเขา ไปยังศาลาแสดงภาพความเสียหายต่างๆ จากผลของคลื่นสึนามิ (ความจริงเป็นโรงหลอกขายรูปและแผ่นซีดี ฮ้า.) ที่มีบุคลากรระดับมืออาชีพ(ทำมาหากินของเขาเอง) กำลังพูดบ้าง ตะโกนบ้าง แสดงสีหน้า ท่าทาง ขนพองสยองหวาดเสียว บรรยายอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อที่จะขายแฟ้มภาพและแผ่นซีดีของเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ถัดมาเป็นโรงขายของที่ระลึก ประเภททำจากกะลามะพร้าว เช่น จอก จาน ช้อน ซ่อม ตะหลิว ทับพี ไม้เกาหลังและที่ขาดไม่ได้คือครกกับสาก แต่วันนี้ที่ศาลานั้นรู้สึกจะเหงาๆ ไปสักนิด
.....
ผมปล่อยให้ลูกทัวร์อยู่แถวๆนั้น 20 นาทีแล้วต้อนขึ้นรถ เดินทางต่อไปยังแคมป์ช้างซึ่งอยู่บนเส้นทาง ตะกั่วป่า-สุราษฎร์ธานี เพื่อนั่งช้างเป็นลำดับต่อไป
...
แต่..เมื่อเราออกรถมาได้ไม่นาน ทางแคมป์ช้างโทรมาบอกผมว่าช้างที่จองไว้ตอน 10 โมงครึ่งนั้นไม่ได้แล้ว คิวเต็มแน่นเอี๊ยด ขอเลื่อนเป็นบ่าย 3 โมงแทน
... 
ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนโปรแกรมตาม โดยการบอกลูกทัวร์ตามความเป็นจริงว่าจะพาพวกเขาไปล่องแคนูก่อน ต่อจากนั้นกินอาหารเที่ยง จึงมานั่งช้างตอนหลัง(ทริปค้างคืน ผมไม่ค่อยซีเรียสกับการเปลี่ยนโปรแกรมของวันแรกและแขกก็ไม่ซีเรียส)
  
หลังจากล่องแคนู ประมาณเวลาชั่วโมงครึ่งจากจุดเริ่มต้น โดยที่ไกด์ไม่ต้องลงแคนูไปกับแขกด้วย สาเหตุ..เพราะไกด์พายแคนูไม่เป็น ฮ้า...

ผมมารอรับที่จุดสิ้นสุด ซึ่งห่างลงมาทางปลายน้ำประมาณ 3 กิโลเมตร
ประมาณ บ่ายโมง ผมพาลูกทัวร์ไปเช็คอินที่รีสอร์ทและกินอาหารเที่ยง

เราเช็คอินพักที่นี่และกินอาหารเที่ยงที่นี่ (ภาพนี้ถ่ายตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น)



หลังอาหารเที่ยงผ่านไป ที่ร้านอาหารของรีสอร์ท
...... 
สาวน้อยคนนี้ เธอชื่อ Mellanic Borup อายุแค่ 4 ขวบเท่านั้น เธอน่ารักมาก
น่าเสียดายที่เธอพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น ส่วนหนุ่มที่นั่งอุ้มอยู่นั้นเป็นน้าของเธอ
ชื่อ Scbastian jarmyr โดยมียายของเธอเป็นตากล้อง ซึ่งเป็นผู้ขอถ่ายรูปกับไกด์(เว่อร์จริงๆ อิอิ)
..
ในคลิปวีดีโอจะเห็นว่าระยะทาง 7 กิโลเมตร เธอเดินตัวปลิวตลอดเวลา โดยไม่ต้องเป็นภาระให้ใครเลย

ออกจากรีสอร์ท ผมพาลูกทัวร์ มาดูลิงที่วัดถ้ำลิง ซึ่งอยู่บนเส้นทางที่จะไปแคมป์ช้าง
แต่ตอนบ่ายอากาศยังร้อน ลิงมันขี้เกียจ ยังไม่อยากลงมาจากภูเขา
ลูกทัวร์ของผมจึงได้เห็นแค่ลูกชะนีที่ชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้

ที่แคมป์ช้าง เริ่มทริปนั่งช้างเดินป่า
...
ครอบครัวนี้มี คุณแม่ ลูกชายและหลานสาวซึ่งเป็นลูกของพี่สาวไอ้หนุ่มนั่น(งงมั๊ย?)
ไกด์ชำนาญ หน้าแหกไปแล้วเพราะเข้าใจว่าไอ้หนุ่มนั่นได้เมียแก่(ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า..)

ประมาณชั่วโมงครึ่ง พวกเขาก็กลับมา
ดูวีดีโอว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลังจากจบการนั่งช้าง
----------------------

ดูวีดีโอ ตอนฝรั่งนั่งช้าง


--------------------------------

ออกมาจากแคมป์ช้าง แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิว ซึ่งสวยพอๆกับภาคเหนือ


และมาถึง ถ้ำพระวังมัจฉา 5 โมงเย็นพอดี
นักท่องเที่ยวต้องเดินเข้าถ้ำนั้นไป ประมาณ 20 เมตร จึงจะทะลุออก "วังมัจฉา"

และนี่คือวังมัจฉา ดูวีดีโอประกอบ จะเห็นปลาจำนวนมาก

-----------------------
ดูวีดีโอ ตอนนั่งแคนูและให้อาหารปลา ที่วังมัจฉา



ออกจาก วัดถ้ำปลา เรากลับถึงรีสอร์ทมึดพอดี
เมื่อเสร็จจากดินเนอร์ค่ำนั้น ต่างแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย

------------------------
วันรุ่งขึ้น 28 ม.ค.54 เราเริ่มอาหารเช้า เวลา  07.00

เมื่อเวลาเช้า หกโมงครึ่ง พระจันทร์ยังลอยอยู่เหนือยอดเขา

ภาพนี้ถ่ายจากหน้าร้านอาหาร จะเห็นห้องพักเรียงราย บนเนิน


หน้าร้านอาหารของรีสอร์ท จะมีพื้นที่สำหรับกางเต็นท์และจัดกิจกรรมรอบกองไฟ
ส่วนใหญ่จะเป็นกรุ๊ปคนไทย เท่าที่ผมเห็นเมื่อปีก่อนๆ มีบ่อยมาก


ภาพนี้ ถ่ายจากบริเวณล๊อบบี้ จะเห็นสระว่ายน้ำและห้องพัก รอบๆและต่ำลงไป
เบ็คกราวด์ด้านหลังเป็นหน้าผาภูเขาหินปูน รีสอร์ทนี้จึงตั้งชื่อว่า "ภูผาและลำธาร" "The Cliff & River"
...
08: 00 เราออกจากรีสอร์ทที่พัก ไปยังด่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสก
ห่างออกไปจากรีสอร์ทที่พัก ประมาณ 10 กิโลเมตร บนถนนสาย สุราษฎร์ธานี-ตะกั่วป่า
เพื่อลงชื่อและจ่ายเงินค่าเข้าไปเดินป่า(ฉพาะนักท่องเที่ยว ไกด์ไม่เกี่ยว)
...
เดินป่าวันนี้ มีไกด์(ภาษาไทย)ผู้หญิงมาร่วมสังเกตุการณ์เพิ่มอีกหนึ่งคน
เธอมาจากสุราษฎร์ธานี หน้าตาดีใช้ได้ แฮ่ ๆ..
รวมทั้งหมด10 คน ก็ไม่ใช่น้อย ที่จะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของผม
....
08.30 เราเริ่ม Jungle Walking

 

 ผ่านจุดเริ่มต้น เข้ามาประมาณ 20 นาที ทุกคนยังกระปรี้กระเปล่า ซักถามโน่น นี่ ตลอดเวลา
ผมบอกทุกคนให้ระวัง ตัวทาก(Slug or Leech) ตัวเล็กๆ มองไม่ค่อยเห็นอยู่ใต้ใบไม้ริมทางเดิน
มันจะกระโดดเข้าใส่ โดยใช้อุณหภูมิในร่างกายของทุกคนเป็นตัวบอกตำแหน่ง ทิศทาง...

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สาวน้อย 4 ขวบเริ่มแซงคนอื่นๆ มาเดินหัวแถว ตามหลังผมติดๆ
และถ้าเธอสงสัยอยากรู้เรื่องอะไรเธอจะถามยาย และยายจะแปลคำถามเป็นภาษาอังกฤษมาที่ผมอีกที
ก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจมากทีเดียว

เราพบผึ้งหลวงรังแรก เป็นรังไม่ใหญ่มาก อยู่บนต้นมะเดื่อป่าขนาดเล็กและไม่สูงมากนัก
ห่างจากทางเดิน ไม่เกิน 5 เมตร สามารถมองเห็นได้ทันทีขณะที่เดินผ่าน
ทุกคนตื่นเต้น ที่ได้เห็นผึ้งไกล้ๆ
และนั่นคือหน้าที่ของผมจะต้องตอบคำถามมากมาย ให้กับพวกเขา

และอีก 10 นาทีต่อมา ก็เห็นอีกรัง อยู่บนต้นไผ่ ที่เอนๆเอียงๆ
ผมพูดกับทุกคนว่า" มีใครอยากได้ ฮันนี่ บ้าง ผมจะเอาให้"
มิสเตอร์คนหนึ่ง ถามผมว่า "ยู จะเอามันมาด้วยวิธีไหน?"
ผมได้โอกาส ลงมือโม้ทันที "ไอ มีคาถา สามารถทำไม่ให้ผึ้งต่อยได้"
แหม่มอีกคน ทำท่าเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง " ยู เป็นเมจิกแมนหรือ?"
"เยส!.." ผมตอบหนักแน่น หน้าตาย(ซึ่งปกติหน้าผมก็ดูไม่ออกว่าเป็นหรือตาย อิอิ)
"แต่..พวกยูทุกคนต้องวิ่งให้เร็วที่สุด เมื่อไอลงมือ" ผมมีเงื่อนไข
" NO..NO..NO.." ทุกคนพูดพร้อมกันหมด
ผมเชื่อว่า ทุกคนไม่อยากวิ่งขึ้นเขา ฮ้า ๆ ๆ..เสร็จโจร..
ลูกจิ้งเหลน(Skink) เล็กจนมองไม่ค่อยเห็น นอนนิ่งบนขอนไม้ริมทางเดิน
ทุกคนสนใจกับมันมากเป็นพิเศษ ผมจึงต้องถ่ายรูป

2 ชั่วโมงผ่านไป ผมพาพวกเขา มาถึงจุดหมายปลายทาง ที่น้ำตก"บางหัวแรด"
อันเป็นต้นน้ำของ "คลองสก" แล้วไปเป็น "คลองพุมดวง"
จนไปรวมเป็น "แม่น้ำตาปี" อันลือลั่นของเมือง "หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ"
จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมืองคนดี ครับพี่น้อง...

ณ.บนโขดหินใหญ่ กลางธารบางหัวแรด เราก็ได้ประสพพบพักต์กับเพื่อนรัก
โคโมโดไทยแลนด์ นอนผี่งแดดอย่างสง่าผ่าเผย ไม่สนใจใคร
ผมกะน้ำหนัก ไม่ต่ำกว่า 7 กิโลฯ

ยลโฉม ถ่ายรูปโคโมโด พักผ่อน ล้างมือ ล้างหน้า ประมาณ 15 นาที
ผมก็พาทุกคน จรลีถัดลงมาตอนล่างของน้ำตก เพื่อชมความงามที่แตกต่าง
เพราะเป็นแอ่งใหญ่ มี"ปลาแงะ"อยู่อาศัยจำนวนมาก

ทุกคนเริ่ม เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า สนใจสิ่งรอบตัวน้อยลง
ผมประเมินสถานการณ์แล้วว่า ถ้าชวนกลับตอนนี้ ไม่มีใครปฏิเสธแน่นอน

 ตอนขากลับ ผมพาเข้าสู่เส้นทางโหดกว่าตอนขามา
แต่สาวน้อย 4 ขวบ แสดงศักยภาพของเธอออกมา
จนผมและทุกคนที่ร่วมทาง ทึ่งกับเธอจริงๆ
...
เธอนำหน้าคนอื่นและตามหลังผมติดๆตลอดเวลา ไม่ยอมทิ้งห่าง
สุดยอดจริงๆ แม่หนูน้อย....
ตอนนี้ ยายของเธอโดนทากกัด ที่บนถุงเท้าขึ้นมา กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อเห็นเลือดแดงเถือกแล้ว 
จึงต้องหยุดพักชั่วครู่ เพื่อผมจะได้ใช้วิชาพ่อมด เอายาเส้นชุบน้ำแล้วเช็ดที่แผลให้เลือดหยุดไหล
แล้วก็หยุดไหลทันใดเหมือนกัน ผมได้ใจลูกทัวร์ทุกคน 

แล้วเธอก็ออกหัวแถว ตามหลังผมมาติดๆ เหมือนเดิม
คนอื่นๆ เริ่มทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จนต้องหยุดรอ
ผมต้องให้หยุดพักกลางทาง ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง
กว่าจะกลับมาถึงจุดเริ่มต้น ที่ทำการอุทยานฯ
ขากลับจึงช้ากว่าตอนไป ประมาณ ครึ่งชั่วโมง
...
พวกเรากลับมาถึงรีสอร์ท เวลาเที่ยงครี่ง กินอาหารเที่ยงเสร็จ อาบน้ำเปลียนเสื้อผ้า
เช็คเอ๊าท์ บ่าย 2 โมง มุ่งหน้ากลับภูเก็ต โดยสวัสดิภาพและประทับใจทุกคน
---------

ดูวีดีโอ บางช่วงบางตอนของการเดินป่า




แล้วก็จบแบบแฮปปี้แอนด์ดิ้ง..
..
ขอบคุณทุกคน ทุกท่านที่แวะเข้ามา
พบกันใหม๋โอกาสหน้าครับ..
...
ด้วยความจริงใจของ ชำนาญ ณ.อันดามัน
สวัสดี
-------------------------------
สนใจทริปนี้

ติดต่อ สอบถามรายละเอียด

กับ ชำนาญ ชูสุวรรณ (ชำนาญ ณ.อันดามัน)

โทร..089-6462682

-----------------------------

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

เนื่องมาจากคำว่า”แคว๊กขี้ยางพรก”


เรื่องนี้ สืบเนื่องมาจาก เพื่อนบน Facebook คนหนึ่ง ได้เข้าไปอ่าน เรื่อง “เฮีย..เอาไข่สองขีด” ที่เวป “ชำนาญ เขียน” แล้วเธอสงสัยความหมายของคำว่า “แคว๊กขี้ยางพรก” ผมพยายาม เขียนอธิบาย คำว่า “แคว๊ก” “ขี้ยาง”และ “พรก” ให้เธอเข้าใจ

แต่เธอก็ยังบอกว่า มึนตึ๊บ!?..นึกภาพไม่ออก เพราะเธอไม่ใช่คนปักษ์ใต้ ผมจึงจำเป็นต้องดั้นด้นบุกเข้าไปในสวนยางพาราหลายสวน โดยใช้เวลา 2 วัน ทำการถ่ายรูปและคลิปวีดีโอ เพื่อเอามาประกอบคำรับสารภาพ เฮ้ย..เฮ้ย..ประกอบคำว่า “แคว๊กขี้ยางพรก” ซึ่งเป็นคำเปรียบเทียบกับการกระทำบางอย่างของคนบางคน (ในที่นี้ผมจะไม่ขออธิบายความหมาย) ที่นิยมใช้กันมากทางปักษ์ใต้ เพื่อให้เธอได้เข้าใจ อย่างทะลุปรุโปร่ง แจ่มแจ้งแดงแจ๋(หวางเผิน) และหายมึนตึ๊บ!..

อีกทั้งจะได้แบ่งปันให้คนอื่นๆที่ไม่เข้าใจ จะได้เข้าใจคำว่า "แคว๊ก" ขี้ยาง" "พรก" ด้วยประการฉะนี้..

ตามมาดู พร้อมกับการโม้เพิ่มเติม ตามถนัดของ ชำนาญ ณ.อันดามัน กัน!..

หมายเหตุ...เรื่องนี้ ไม่ใช่สารคดี อีกทั้งไม่ใช่วิชาการ ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงได้

--------------------------

รวบรัดตัดตอน มาเริ่มกันที่ ชาวสวนเก็บน้ำยางพารา มาจากต้นยางพารา แล้วนำใส่ลงในถาดอะลูมิเนียม (แบบเดียวกับที่ใช้ใส่กับข้าวตามร้านข้าวราดแกง) ต่อจากนั้นก็ผสมน้ำเพิ่มเติมลงไปในน้ำยางตามสัดส่วนที่เหมาะสม ใส่น้ำกรดฆ่ายางลงไปในน้ำยาง เพื่อให้น้ำยางแข็งตัวเร็วขึ้น

เมื่อน้ำยางแข็งตัวแล้ว นำออกมาจากถาด แล้วทำให้บางออกเป็นแผ่นยาง

ขั้นตอนต่อไป เอาเข้าเครื่องรีดยาง(แบบไม่มีดอก) รีดให้บางที่สุดเท่าที่จะบางได้

ต่อจากนั้น เอาเข้าเครื่องรีดแบบมีดอก เพื่อรีดเอาน้ำที่อยู่ในแผ่นยางออกให้มากที่สุด

แล้วก็จะได้ยางแผ่นแบบนี้


แผ่นยางพารา หลังจากผ่านการรีดจาก ทั้ง 2 เครื่องรีดแล้ว

เก็บพักไว้ก่อน รอการนำออกไปตากแดดให้แห้ง

แผ่นยางที่ผ่านการรีด นำออกมาตากแดด

เมื่อแห้งแล้ว จึงนำมาเก็บ ในโรงเก็บ สีเหลืองแบบนี้ เป็นน้ำยางที่ได้จากต้นยางอายุยังไม่มาก

แผ่นยาง ที่ได้น้ำยางจากต้นยางแก่

แผ่นยางจากน้ำยาง ที่ได้มาจากต้นยางแก่ เมื่อแห้งแล้ว สีจะเป็นแบบนี้
นำเข้าเก็บในโรงเก็บและรอเปลี่ยนเป็นเงิน ในขั้นตอนต่อไป (ณ.เวลานี้ ก.ก.ล่ะ 170 บาทเป็นอย่างต่ำ)
------------------------------------------

วีดีโอ ขั้นตอนการทำยางพาราแผ่น


-----------------------------------------


ทีนี้ก็มาถึงคำว่า "แค๊วกขี้ยางพรก"


นี่คือ "พรก" ที่ได้มาจาก "กะลามะพร้าว" ผ่าซีก

ชาวสวนยาง จะนำ "พรก" มารองน้ำยางพารา ที่ไหลออกมาจากต้นยางพารา หลังการกรีด
ต่อจากนั้น ชาวสวนก็จะรอเวลาที่เหมาะสม อาจจะเป็น 3 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะหายขี้เกียจ!..
ก็จะเก็บน้ำยางนำไปเข้ากระบวนการทำแผ่นยาง

หลังจากที่ชาวสวนเก็บน้ำยางส่วนใหญ่ไปแล้ว ก็จะวาง "พรก" ไว้รับน้ำยางส่วนน้อยที่ยังไหลออกมา
เรื่อยๆ ช้าๆ จนกว่าจะหยุดไหล ในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น

หลังจากน้ำยางหยุดไหลและเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง อาจจะเป็นวันหรือวันครึ่งหรือสองวัน
(ซึ่งขึ้นอยู่กับ พันธุ์ของต้นยาง อายุของต้นยาง อากาศและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เป็นส่วนประกอบ)
เมื่อน้ำยางส่วนนั้นจับตัวเป็นก้อนแข็งและเหนียวติดอยู่ใน "พรก"
เรียกว่า "ขี้ยาง" หรือ "เศษยาง" ที่อยู่ใน "พรก" หรือ "กะลามะพร้าว" นั้น
ทีนี้เมื่อมีใครก็ตามที่ไป "แคว๊ก" หรือ "ควัก" เอา "ขี้ยาง" หรือ "เศษยาง" ใน "พรก" หรือ ใน "กะลา" นั้นออกมา เราจึงพูดว่า "แคว๊กขี้ยางพรก"

เพราะฉะนั้น..ตามพจนานุกรม ภาษาใต้วันละคำ... "แคว๊กขี้ยางพรก"

จึงแปลความหมายได้ว่า... "ควักเศษยางออกมาจากกะลามะพร้าว" ด้วยประการฉะนี้



หลังจาก "แคว๊กขี้ยางพรก" ได้จำนวนพอประมาณ ก็นำมารวมเป็น "ขี้ยางก้อน"

และเมื่อรวม "ขี้ยางก้อน" ได้มากเข้า ประมาณ 1 ตันหรือ 2 ตัน
ก็นำขึ้นไปรวมไว้ท้ายรถกระบะ แล้วขับไปที่ร้านรับซื้อ "ขี้ยาง"
ที่ร้านรับซื้อ "ขี้ยาง" ซื้อราคากิโลกรัมล่ะ 75 บาท (ณ.วันที่เขียนเรื่องนี้)
เมื่อเอา 2,000x75
กลายเป็น...ไม่ใช่เรื่อง ขี้ ขี้ เลย.....
------------------------------------
วีดีโอ "แคว๊กขี้ยางพรก"


--------------------------------------------

จบเรื่อง "แคว๊กขี้ยางพรก" อาจจะมีสาระบ้าง จากเรื่องไร้สาระนี้
และขอยกเครดิตให้กับเพื่อนบน Facebook ที่มีคำถาม ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจ เล่าเรื่องนี้
ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือ..หลงเข้ามาอ่าน!!..

พบกันใหม่เรื่องต่อไปครับ...

ด้วยความจริงใจ ของ ชำนาญ ณ.อันดามัน
---------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

ไปคนเดียวเที่ยวงานวันเด็ก(กูยังไม่แก่โว้ยยย)

***เวทีของเทศบาลนครภูเก็ต***

หลายปีมาก หลายปีจนจำไม่ได้ว่ากี่ปี ที่ผมไม่ได้ไปงานวันเด็กแห่งชาติ
ก็ตั้งแต่ลูกมันโตพอจะไปเองได้ มันก็ไม่ยอมให้ผมพาไป!..
และมันก็ใจดำไม่ยอมพาผมไปด้วยเหมือนกัน ชิ!...
จึงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวงานวันเด็กอีกเลย
ผู้ใหญ่หลายๆคน ที่ลูกโตแล้วและยังไม่มีหลาน
คงเจอปัญหาแบบเดียวกับผมบ้างแน่ๆ...
  
จึงเป็นความตั้งใจของผมมาหลายวันแล้วว่า ปีนี้จะต้องไปเที่ยวงานวันเด็กให้ได้
ถึงใครจะห้ามผมก็ไม่ฟัง อิ.อิ...พูดยังกะว่ามีใครเขาห่วงใยกังวลนักหนา ไอ้บ้า...

เมื่อเวลาสิบโมงเศษๆ ผมก็จรลีออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังสะพานหิน ซึ่งใกล้บ้านที่สุด
และเป็นสถานที่จัดงานวันเด็กของจังหวัดทุกปี ตั้งแต่ผมจำความได้ เอ้า..โม้เข้าไป

ไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็มาถึงสะพานหินแล้วก็ไม่ผิดหวัง
เมื่อมองไปรอบๆ ทุกที่เต็มไปด้วยเวที เต้นท์ ซุ้ม ที่มีกิจกรรมเพื่อเด็กล้วนๆ
ซึ่งผู้ใหญ่ช่วยกันรังสรรค์ขึ้นมา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขสนุกสนานของเด็กๆ
ที่พลอยทำให้ ผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง รวมทั้งครูบาอาจารย์และผู้ที่เกี่ยวข้อง
พลอยมีความสุขไปกับเด็กๆทั้งหลาย..และรวมทั้งผมด้วย
คนแก่ทั้งหลายที่ลูกโตแล้วและไม่มีหลาน ขอร้อง...ไม่ต้องมาอิจฉาผม

แต่..ตามผมมา จะเล่าให้ฟัง ดูรูปและดูคลิปวีดีโอไปด้วย
เผื่อปีหน้า สองคน ตา,ยาย จะได้จูงมือกันไปเที่ยวงานวันเด็กมั่ง ฮ้า....

การแสดงของหนูน้อยทั้งหลาย บนเวทีของเทศบาลนครภูเก็ต
ซึ่งใหญ่กว่าทุกเวที เป็นเวทีแรกที่ผมตั้งใจเดินเข้า



คลิปแรกนี้ เป็นการแสดงของหนูๆน้อยๆ บนเวทีของเทศบาลนครภูเก็ต
---------------------------------

เวทีที่2 กำลังจับของรางวัล แจกของกันดูวุ่นวาย แต่สนุกสนาน ทั้งเด็กๆทั้งคนแจก



ดูคลิปเวที ที่2 เขาจัดกิจกรรมให้เด็กๆได้ร่วมสนุก
------------------------------


ก่อนจะถึงเวที ที่3 ผมก็เจอเข้ากับเด็กๆกลุ่มนี้ ก็เลยได้ภาพใสๆมาฝากท่านทั้งหลาย

เวที ที่3 กำลังเตรียมพร้อม จะให้เด็กๆ เริ่มการแสดง(เวทีนี้ไม่มีคลิป)


เวที ที่4 เวทีนี้ มีสีสรรหน่อย เพราะเป็นการแสดงของเด็กโต(สาวๆ)
เท่าที่สังเกตุ ท่านผู้ชมมีแต่เด็กโค่งทั้งนั้น



คลิปการแสดงของเด็กโต(สาวๆ)
----------------------------------

เวที ที่5 เล่นดนตรีไทย



คลิปของเวที ที่5 การเล่นดนตรีไทย
-------------------------------------

เวที ที่6 เวทีนี้ ผู้ปกครองค่อนข้างเยอะ หนูๆแสดงได้ดี



คลิปบนเวที ที่6
-----------------------------------

หนูน้อยๆกับนายกเทศมนตรีเทศบาลนครภูเก็ตและนักการเมืองท้องถิ่น หน้าเวที ที่6

เวที ที่ 7 แจกลูกเดียว(ไม่มีคลิป)

เวที ที่8 แจกของใหญ่ๆทั้งนั้น มีวงดนตรีอาชีพแสดงด้วย



คลิปจากเวที ที่8 และบรรยากาศโดยทั่วไป
--------------------------------------------

นี่ ขวัญใจเด็กๆ ขอถ่ายรูปตลอดเวลา(เรียกตัวอะไรก็ไม่รู้ ใครรู้ช่วยบอกที)

***ขนาดว่าเราตัวไม่เล็กแล้ว แต่พอมายืนกับนายพันท่านนี้ เรากลายเป็นเด็กเลย อิ อิ***
มาเที่ยวงานวันเด็ก แทนที่จะถ่ายรูปกับเด็ก ดั๊นนน..ไปถ่ายกับทหารเฉยเลย

นายพันท่านนี้เป็นครูฝึกหน่วยนาวิกโยธิน ที่มาสาธิตการใช้อาวุธ ให้เด็กเล็กและเด็กโค่งได้ชมกัน
ซึ่งก็ได้รับความสนใจมากมาย ล้นหลาม

การแสดงท่าอาวุธต่างๆ พร้อมกับการยิงกระสุนแบ๊งก์(กระสุนไม่มีหัว แต่มีเสียงดัง)

ขนาดว่าไม่มีหัวกระสุน พอยิง ปังๆๆๆๆๆๆๆ ออกไป
พวกท่านผู้ชมที่นั่งและยืนอยู่ตรงปากกระบอกปืน หลบกันเป็นแถว อิ..อิ..อิ..
ปืนเอ็ม16 ใครก็เสียว...


คลิปสุดท้าย ทหารหน่วยนาวิกโยธิน จากฐานทัพเรือกองเรือภาคที่3 ทับละมุ จังหวัดพังงา
สาธิตการใช้อาวุธ ในท่าต่างๆ ซึ่งผมตัดต่อมาลงเพียงบางส่วนเท่านั้น
(แค่นี้ หน้าเว็ปเรื่องเล่าเรื่องนี้ ก็น่าจะโหลดช้ามากทีเดียว)
------------------------
วันนี้ เป็นวันที่ผมมีความสุขมากที่สุดวันหนึ่ง ในรอบหลายปีมานี้
เหมือนได้กลับไปสู่เมื่อเยาว์วัยและเมื่อลูกยังเล็กๆ
ความรู้สึกแบบนี้ จะเป็นเฉพาะกับคนแก่หรือเปล่าว่ะ!?...
กูยังไม่แก่..โว้ยยยยยยยยย.....
ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
--------------------------------------------------