วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

เดินป่าเขาสก ทริปแรกของซีซั่น 2 วัน 1 คืน


ทัวร์ซีซั่น ปี2010 ชำนาญ ณ.อันดามัน พักยาว หลังจากที่ให้หมอผ่าตัดตา ควักเอาเลนส์หมา..เฮ้ย..เฮ้ย..เลนส์เทียมใส่แทนเลนส์แท้ที่แม่ให้มา กระทั่งหายดีเป็นปกติ สามารถแลลอดทะลุผ้าและเดินเข้าป่าได้เหมือนเดิม

ไฮน์ซีซั่น ปี 2010 ต่อ ปี 2011 ผ่านมาหลายเดือน เพิ่งจะมี ทริปค้างคืนเขาสก 2วัน 1คืน เป็นทริปแรก วันที่ 27-28 ม.ค. ยังเสียวๆอยู่ว่า เส้นสาย ข้อเข่า ของอาตมาที่ไม่ได้ใช้มานาน มันยังทำงานได้ดีเหมือนเดิมหรือไม่?..หรือจะต้องคลานสี่ขาตามหลังแขก แต่ถึงยังไงก็ต้องสู้จนใจขาดชีวาวาย ถึงจะตาย ก็ยอมถวายชีวี เพื่อ "มันนี่" ตัวเดียวแหละพี่น้องเอ๋ย..

เช้าวันที่ 27 ม.ค. รับลูกทัวร์ปาร์ตี้แรก 2ผู้ใหญ่ 1เด็ก แถวหาดในหาน แล้วข้ามเขาไปรับปาร์ตี้ที่สอง 4 ผู้ใหญ่ ที่แถวหาดกะรน ทั้ง 2 ปาร์ตี้เป็นสวีดิส ทริปนี้ มีเด็กฝึกงาน(Tranee) ติดไปด้วยหนึ่งคน ก็พอจะเบาแรงบ้างกับลูกทัวร์จำนวน 6+1 เด็ก และฝรั่งสวีเดนไม่น่าหนักใจเหมือนฝรั่งรัสเซีย

หยุดสาธยายอธิบายขายยา(โม้)ที่จุดแรกตามโปรแกรม ตั้งชื่อเรียกกันซะหรู ว่า "อนุสาวรีย์เรือสึนามิ" อยู่ที่เขาหลัก พังงา
เป็นเรือตำรวจน้ำ ลำที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิ จับเขวี้ยงมาจากจุดลอยลำในทะเลห่างออกไปจากชายหาด ประมาณ 3 กิโลเมตร
มาตั้งเด่นเป็นสง่า(แต่หมดราศี) อยู่บนเนินเขาริมป่า ห่างมาจากชายหาดลึกเข้ามาอีกประมาณ 2โลเมตร

หลังจากที่ผมโม้ให้ลูกทัวร์ฟังพอหอมปากหอมคอ ก็ปล่อยให้พวกเขา ไปยังศาลาแสดงภาพความเสียหายต่างๆ จากผลของคลื่นสึนามิ (ความจริงเป็นโรงหลอกขายรูปและแผ่นซีดี ฮ้า.) ที่มีบุคลากรระดับมืออาชีพ(ทำมาหากินของเขาเอง) กำลังพูดบ้าง ตะโกนบ้าง แสดงสีหน้า ท่าทาง ขนพองสยองหวาดเสียว บรรยายอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อที่จะขายแฟ้มภาพและแผ่นซีดีของเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ถัดมาเป็นโรงขายของที่ระลึก ประเภททำจากกะลามะพร้าว เช่น จอก จาน ช้อน ซ่อม ตะหลิว ทับพี ไม้เกาหลังและที่ขาดไม่ได้คือครกกับสาก แต่วันนี้ที่ศาลานั้นรู้สึกจะเหงาๆ ไปสักนิด
.....
ผมปล่อยให้ลูกทัวร์อยู่แถวๆนั้น 20 นาทีแล้วต้อนขึ้นรถ เดินทางต่อไปยังแคมป์ช้างซึ่งอยู่บนเส้นทาง ตะกั่วป่า-สุราษฎร์ธานี เพื่อนั่งช้างเป็นลำดับต่อไป
...
แต่..เมื่อเราออกรถมาได้ไม่นาน ทางแคมป์ช้างโทรมาบอกผมว่าช้างที่จองไว้ตอน 10 โมงครึ่งนั้นไม่ได้แล้ว คิวเต็มแน่นเอี๊ยด ขอเลื่อนเป็นบ่าย 3 โมงแทน
... 
ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนโปรแกรมตาม โดยการบอกลูกทัวร์ตามความเป็นจริงว่าจะพาพวกเขาไปล่องแคนูก่อน ต่อจากนั้นกินอาหารเที่ยง จึงมานั่งช้างตอนหลัง(ทริปค้างคืน ผมไม่ค่อยซีเรียสกับการเปลี่ยนโปรแกรมของวันแรกและแขกก็ไม่ซีเรียส)
  
หลังจากล่องแคนู ประมาณเวลาชั่วโมงครึ่งจากจุดเริ่มต้น โดยที่ไกด์ไม่ต้องลงแคนูไปกับแขกด้วย สาเหตุ..เพราะไกด์พายแคนูไม่เป็น ฮ้า...

ผมมารอรับที่จุดสิ้นสุด ซึ่งห่างลงมาทางปลายน้ำประมาณ 3 กิโลเมตร
ประมาณ บ่ายโมง ผมพาลูกทัวร์ไปเช็คอินที่รีสอร์ทและกินอาหารเที่ยง

เราเช็คอินพักที่นี่และกินอาหารเที่ยงที่นี่ (ภาพนี้ถ่ายตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น)



หลังอาหารเที่ยงผ่านไป ที่ร้านอาหารของรีสอร์ท
...... 
สาวน้อยคนนี้ เธอชื่อ Mellanic Borup อายุแค่ 4 ขวบเท่านั้น เธอน่ารักมาก
น่าเสียดายที่เธอพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น ส่วนหนุ่มที่นั่งอุ้มอยู่นั้นเป็นน้าของเธอ
ชื่อ Scbastian jarmyr โดยมียายของเธอเป็นตากล้อง ซึ่งเป็นผู้ขอถ่ายรูปกับไกด์(เว่อร์จริงๆ อิอิ)
..
ในคลิปวีดีโอจะเห็นว่าระยะทาง 7 กิโลเมตร เธอเดินตัวปลิวตลอดเวลา โดยไม่ต้องเป็นภาระให้ใครเลย

ออกจากรีสอร์ท ผมพาลูกทัวร์ มาดูลิงที่วัดถ้ำลิง ซึ่งอยู่บนเส้นทางที่จะไปแคมป์ช้าง
แต่ตอนบ่ายอากาศยังร้อน ลิงมันขี้เกียจ ยังไม่อยากลงมาจากภูเขา
ลูกทัวร์ของผมจึงได้เห็นแค่ลูกชะนีที่ชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้

ที่แคมป์ช้าง เริ่มทริปนั่งช้างเดินป่า
...
ครอบครัวนี้มี คุณแม่ ลูกชายและหลานสาวซึ่งเป็นลูกของพี่สาวไอ้หนุ่มนั่น(งงมั๊ย?)
ไกด์ชำนาญ หน้าแหกไปแล้วเพราะเข้าใจว่าไอ้หนุ่มนั่นได้เมียแก่(ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า..)

ประมาณชั่วโมงครึ่ง พวกเขาก็กลับมา
ดูวีดีโอว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลังจากจบการนั่งช้าง
----------------------

ดูวีดีโอ ตอนฝรั่งนั่งช้าง


--------------------------------

ออกมาจากแคมป์ช้าง แวะถ่ายรูปที่จุดชมวิว ซึ่งสวยพอๆกับภาคเหนือ


และมาถึง ถ้ำพระวังมัจฉา 5 โมงเย็นพอดี
นักท่องเที่ยวต้องเดินเข้าถ้ำนั้นไป ประมาณ 20 เมตร จึงจะทะลุออก "วังมัจฉา"

และนี่คือวังมัจฉา ดูวีดีโอประกอบ จะเห็นปลาจำนวนมาก

-----------------------
ดูวีดีโอ ตอนนั่งแคนูและให้อาหารปลา ที่วังมัจฉา



ออกจาก วัดถ้ำปลา เรากลับถึงรีสอร์ทมึดพอดี
เมื่อเสร็จจากดินเนอร์ค่ำนั้น ต่างแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย

------------------------
วันรุ่งขึ้น 28 ม.ค.54 เราเริ่มอาหารเช้า เวลา  07.00

เมื่อเวลาเช้า หกโมงครึ่ง พระจันทร์ยังลอยอยู่เหนือยอดเขา

ภาพนี้ถ่ายจากหน้าร้านอาหาร จะเห็นห้องพักเรียงราย บนเนิน


หน้าร้านอาหารของรีสอร์ท จะมีพื้นที่สำหรับกางเต็นท์และจัดกิจกรรมรอบกองไฟ
ส่วนใหญ่จะเป็นกรุ๊ปคนไทย เท่าที่ผมเห็นเมื่อปีก่อนๆ มีบ่อยมาก


ภาพนี้ ถ่ายจากบริเวณล๊อบบี้ จะเห็นสระว่ายน้ำและห้องพัก รอบๆและต่ำลงไป
เบ็คกราวด์ด้านหลังเป็นหน้าผาภูเขาหินปูน รีสอร์ทนี้จึงตั้งชื่อว่า "ภูผาและลำธาร" "The Cliff & River"
...
08: 00 เราออกจากรีสอร์ทที่พัก ไปยังด่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสก
ห่างออกไปจากรีสอร์ทที่พัก ประมาณ 10 กิโลเมตร บนถนนสาย สุราษฎร์ธานี-ตะกั่วป่า
เพื่อลงชื่อและจ่ายเงินค่าเข้าไปเดินป่า(ฉพาะนักท่องเที่ยว ไกด์ไม่เกี่ยว)
...
เดินป่าวันนี้ มีไกด์(ภาษาไทย)ผู้หญิงมาร่วมสังเกตุการณ์เพิ่มอีกหนึ่งคน
เธอมาจากสุราษฎร์ธานี หน้าตาดีใช้ได้ แฮ่ ๆ..
รวมทั้งหมด10 คน ก็ไม่ใช่น้อย ที่จะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของผม
....
08.30 เราเริ่ม Jungle Walking

 

 ผ่านจุดเริ่มต้น เข้ามาประมาณ 20 นาที ทุกคนยังกระปรี้กระเปล่า ซักถามโน่น นี่ ตลอดเวลา
ผมบอกทุกคนให้ระวัง ตัวทาก(Slug or Leech) ตัวเล็กๆ มองไม่ค่อยเห็นอยู่ใต้ใบไม้ริมทางเดิน
มันจะกระโดดเข้าใส่ โดยใช้อุณหภูมิในร่างกายของทุกคนเป็นตัวบอกตำแหน่ง ทิศทาง...

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป สาวน้อย 4 ขวบเริ่มแซงคนอื่นๆ มาเดินหัวแถว ตามหลังผมติดๆ
และถ้าเธอสงสัยอยากรู้เรื่องอะไรเธอจะถามยาย และยายจะแปลคำถามเป็นภาษาอังกฤษมาที่ผมอีกที
ก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจมากทีเดียว

เราพบผึ้งหลวงรังแรก เป็นรังไม่ใหญ่มาก อยู่บนต้นมะเดื่อป่าขนาดเล็กและไม่สูงมากนัก
ห่างจากทางเดิน ไม่เกิน 5 เมตร สามารถมองเห็นได้ทันทีขณะที่เดินผ่าน
ทุกคนตื่นเต้น ที่ได้เห็นผึ้งไกล้ๆ
และนั่นคือหน้าที่ของผมจะต้องตอบคำถามมากมาย ให้กับพวกเขา

และอีก 10 นาทีต่อมา ก็เห็นอีกรัง อยู่บนต้นไผ่ ที่เอนๆเอียงๆ
ผมพูดกับทุกคนว่า" มีใครอยากได้ ฮันนี่ บ้าง ผมจะเอาให้"
มิสเตอร์คนหนึ่ง ถามผมว่า "ยู จะเอามันมาด้วยวิธีไหน?"
ผมได้โอกาส ลงมือโม้ทันที "ไอ มีคาถา สามารถทำไม่ให้ผึ้งต่อยได้"
แหม่มอีกคน ทำท่าเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง " ยู เป็นเมจิกแมนหรือ?"
"เยส!.." ผมตอบหนักแน่น หน้าตาย(ซึ่งปกติหน้าผมก็ดูไม่ออกว่าเป็นหรือตาย อิอิ)
"แต่..พวกยูทุกคนต้องวิ่งให้เร็วที่สุด เมื่อไอลงมือ" ผมมีเงื่อนไข
" NO..NO..NO.." ทุกคนพูดพร้อมกันหมด
ผมเชื่อว่า ทุกคนไม่อยากวิ่งขึ้นเขา ฮ้า ๆ ๆ..เสร็จโจร..
ลูกจิ้งเหลน(Skink) เล็กจนมองไม่ค่อยเห็น นอนนิ่งบนขอนไม้ริมทางเดิน
ทุกคนสนใจกับมันมากเป็นพิเศษ ผมจึงต้องถ่ายรูป

2 ชั่วโมงผ่านไป ผมพาพวกเขา มาถึงจุดหมายปลายทาง ที่น้ำตก"บางหัวแรด"
อันเป็นต้นน้ำของ "คลองสก" แล้วไปเป็น "คลองพุมดวง"
จนไปรวมเป็น "แม่น้ำตาปี" อันลือลั่นของเมือง "หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ"
จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมืองคนดี ครับพี่น้อง...

ณ.บนโขดหินใหญ่ กลางธารบางหัวแรด เราก็ได้ประสพพบพักต์กับเพื่อนรัก
โคโมโดไทยแลนด์ นอนผี่งแดดอย่างสง่าผ่าเผย ไม่สนใจใคร
ผมกะน้ำหนัก ไม่ต่ำกว่า 7 กิโลฯ

ยลโฉม ถ่ายรูปโคโมโด พักผ่อน ล้างมือ ล้างหน้า ประมาณ 15 นาที
ผมก็พาทุกคน จรลีถัดลงมาตอนล่างของน้ำตก เพื่อชมความงามที่แตกต่าง
เพราะเป็นแอ่งใหญ่ มี"ปลาแงะ"อยู่อาศัยจำนวนมาก

ทุกคนเริ่ม เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า สนใจสิ่งรอบตัวน้อยลง
ผมประเมินสถานการณ์แล้วว่า ถ้าชวนกลับตอนนี้ ไม่มีใครปฏิเสธแน่นอน

 ตอนขากลับ ผมพาเข้าสู่เส้นทางโหดกว่าตอนขามา
แต่สาวน้อย 4 ขวบ แสดงศักยภาพของเธอออกมา
จนผมและทุกคนที่ร่วมทาง ทึ่งกับเธอจริงๆ
...
เธอนำหน้าคนอื่นและตามหลังผมติดๆตลอดเวลา ไม่ยอมทิ้งห่าง
สุดยอดจริงๆ แม่หนูน้อย....
ตอนนี้ ยายของเธอโดนทากกัด ที่บนถุงเท้าขึ้นมา กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อเห็นเลือดแดงเถือกแล้ว 
จึงต้องหยุดพักชั่วครู่ เพื่อผมจะได้ใช้วิชาพ่อมด เอายาเส้นชุบน้ำแล้วเช็ดที่แผลให้เลือดหยุดไหล
แล้วก็หยุดไหลทันใดเหมือนกัน ผมได้ใจลูกทัวร์ทุกคน 

แล้วเธอก็ออกหัวแถว ตามหลังผมมาติดๆ เหมือนเดิม
คนอื่นๆ เริ่มทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จนต้องหยุดรอ
ผมต้องให้หยุดพักกลางทาง ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง
กว่าจะกลับมาถึงจุดเริ่มต้น ที่ทำการอุทยานฯ
ขากลับจึงช้ากว่าตอนไป ประมาณ ครึ่งชั่วโมง
...
พวกเรากลับมาถึงรีสอร์ท เวลาเที่ยงครี่ง กินอาหารเที่ยงเสร็จ อาบน้ำเปลียนเสื้อผ้า
เช็คเอ๊าท์ บ่าย 2 โมง มุ่งหน้ากลับภูเก็ต โดยสวัสดิภาพและประทับใจทุกคน
---------

ดูวีดีโอ บางช่วงบางตอนของการเดินป่า




แล้วก็จบแบบแฮปปี้แอนด์ดิ้ง..
..
ขอบคุณทุกคน ทุกท่านที่แวะเข้ามา
พบกันใหม๋โอกาสหน้าครับ..
...
ด้วยความจริงใจของ ชำนาญ ณ.อันดามัน
สวัสดี
-------------------------------
สนใจทริปนี้

ติดต่อ สอบถามรายละเอียด

กับ ชำนาญ ชูสุวรรณ (ชำนาญ ณ.อันดามัน)

โทร..089-6462682

-----------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน