วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประสบการณ์ลิ่มเลือดอุดตัน(3)




            สืบเนื่องจากถูกพาส่งโรงพยาบาลกลางดึกประมาณตี 2 ของคืนวันที่ 4 เมษายน 61 ด้วยสภาวะหายใจไม่เต็มปอดและจุกเสียดในบริเวณหัวใจ โดยหมอตรวจพบว่าหัวใจมีลิ่มเลือดอุดตัน เพราะมีไขมันในเลือดสูงถึง800 และน้ำตาลในเลือดสูงถึง361 หมอบ่นว่าไม่น่ารอดมาได้
            หลังจากการให้กินยา ฉีดยาและนอนดูอาการที่โรงพยาบาล จนเป็นที่พอใจของหมอ(แต่ไม่เป็นที่พอใจของพยาบาลมากนัก) หมอจึงให้กลับบ้านได้และนัดให้มาตรวจเลือดอีกครั้งในวันที่ 18 เดือนเดียวกัน
            ข้าพเจ้างดน้ำ งดอาหารตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่มของคืนวันที่17 ปฏิบัติตัวตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด
เช้าวันที่ 18 เมษายน 2561 ข้าพเจ้าขับรถไปถึงโรงพยาบาล 6 โมงเช้า วนเวียนหาที่จอดรถโดยไม่ได้รีบร้อน เพราะในใบนัดระบุเวลานัดไว้ที่ 07.00 น. การไปถึงหกโมงเช้ามีความรู้สึกเหมือนเด็กนักเรียนเพิ่งเปิดเทอมใหม่
ข้าพเจ้าเดินดูความสับสนวุ่นวายของผู้คนที่มายังสถานที่นี้มากมาย เหมือนกับการไปห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆก็มิปาน กระทั่งเมื่อข้าพเจ้าเดินไปถึงจุดที่มีการเจาะเลือด ซึ่งอยู่บริเวณริมรั้วด้านหน้าของโรงพยาบาล รู้สึกตกใจที่เห็นมีคนจำนวนมาก ทั้งนั่งบ้าง ยืนบ้าง นั่งบนรถเข็นบ้างและนอนบนเตียงคนป่วยบ้างที่บริเวณจุดเจาะเลือดไม่ต่ำกว่า 200 คน มีคำถามเกิดขึ้นในใจของข้าพเจ้าว่า พวกเขามากันตั้งแต่เวลาไหน?
ข้าพเจ้ารีบตาเหลือกไปยังที่จุดจับใบคิว เพราะสังเกตุเห็นยังมีคนเดินตามหลังข้าพเจ้ามาอีกเป็นสิบ ข้าพเจ้ารีบจับบัตรคิว ปรากฏว่าได้ลำดับที่ 196
“ตายโหง!..แล้วคิว1 เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่กันฟ่ะ?”..ข้าพเจ้าถามตัวเองโดยไม่ต้องการคำตอบ
ลำดับต่อไปก็เป็นการรอ ข้าพเจ้ายืนจนเมื่อย เดินจนเมื่อย เพราะหาที่นั่งไม่ได้ กว่าจะมีที่นั่งได้ก็ต้องรอให้คิวแรกๆเขาถูกเรียกชื่อ และดันเป็นที่ต้องนั่งตากแดดซะด้วย แต่ก็ยังดีกว่ายืนเมื่อย
ประมาณ 7 โมงเช้ากว่าๆ ได้ยินเสียงเรียกหมายเลข 196 ข้าพเจ้ารีบไปยื่นใบคิวและใบนัดของหมอให้เจ้าหน้าที่ตรงช่องที่กำหนด เธอคีร์ข้อมูลใส่คอมพิวเตอร์ สักครู่เธอก็ให้หลอดแก้วเล็กๆที่มีชื่อของข้าพเจ้า 2 หลอดพร้อมกับกระปุกใส่ฉี่ เธอบอกให้ข้าพเจ้าไปเยี่ยวใส่กระปุกแล้วไปเข้าแถวรอเจาะเลือดอีกมุมของบริเวณนั้น เท่าที่มองเห็นหางแถวที่เขายืนตากแดดกันอยู่ เกือบจะออกไปบนถนนหน้าโรงพยาบาลทีเดียว
หลังจากที่ไปฉี่ใส่กระปุกแล้วเอามาวางไว้ในตะกร้าซึ่งจัดไว้อีกมุม  ข้าพเจ้าจึงได้ไปต่อท้ายแถวเพื่อเจาะเลือด นับจากหัวแถว ข้าพเจ้าอยู่เป็นคนที่ 11 เวลานั้นข้าพเจ้ารู้สึกโหวงเหวงบ้างแล้วเพราะความหิวและตากแดดเป็นเวลานานพอสมควร
เก้าโมงเช้านิดหน่อย ข้าพเจ้าเจาะเลือดเสร็จก็รีบไปยังคลินิกโรคเบาหวานซึ่งอยู่อีกตึกหนึ่งห่างออกไปเดินพอได้หอบเล็กๆ เมื่อไปถึงหน้าห้องที่เขียนว่า 360 ข้าพเจ้าด้อมๆ มองๆ เข้าไปในห้องก็เห็นคนหนุ่ม คนแก่ ผู้หญิง ผู้ชาย ประมาณสัก 20 กว่าคน แต่ละคนนั่งกันเงียบเชียบเหมือนไม่ได้หายใจ ทุกคนหน้าตาซีดๆ เซียวๆ ไร้ชีวิตชีวา แข็งๆ ทื่อๆ เหมือนกับคนในหนังฝรั่งอะไรซักเรื่องหนึ่งที่นางเอกรบกับผีดิบตลอดทั้งเรื่อง



ข้าพเจ้าเห็นบรรยากาศในห้องนั้นแล้วมีความรู้สึกอยากจะกลับบ้านทันที แต่มันเป็นไปไม่ได้ จึงจำต้องมองหาโต๊ะที่น่าจะเป็นจุดแรกของการรายงานตัว...และแล้วข้าพเจ้าก็เห็นโต๊ะหมายเลข1 ซึ่งเขียนว่า “ผู้ป่วยตามนัด” หลังโต๊ะนั้น นั่งไว้ด้วยอิสตรีสาวสวยสะคราญ แต่สีหน้าและแววตาของแม่นางเย็นยะเยียบประดุจบัวหิมะพันปีก็มิปาน ครั้นเมื่อแม่นางมองมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ
หากทว่าสำนึกที่ข้าพเจ้ามายังสถานที่นี้ก็เพื่อต้องการรักษาอาการไฟธาตุแตก ซึ่งข้าพเจ้าได้ผ่านการตายมาครั้งหนึ่งแล้ว ข้าพเจ้าจึงมิได้หวั่นไหวต่อรังสีอำมหิตของแม่นางสักเท่าใด
ข้าพเจ้าค่อยๆจรดฝีเท้าเข้าไปหาแม่นางอย่างแผ่วเบาและยื่นส่งแฟ้มให้อย่างสำรวม หลังจากที่แม่นางรับแฟ้มประวัติของข้าพเจ้าและตรวจสอบกับคอมพิวเตอร์เสร็จสิ้น จึงได้ชี้แนะให้ข้าพเจ้านำแฟ้มไปให้โต๊ะถัดไปและบอกให้ข้าพเจ้านั่งรอเรียกชื่อโดยได้บัตรคิวที่90
10นาทีผ่านไป..20นาทีผ่านไป ได้ยินแต่เสียงเรียกชื่อคนอื่น ข้าพเจ้าเริ่มตาลายเพราะความหิว ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะต้องออกจากที่นั่งรอเรียกชื่อนี้ เพื่อไปหาชื้ออะไรใส่ท้องก่อนจะเป็นลมตาย
ไปกลับไม่เกิน 10 นาที จากร้านสหกรณ์ภายในโรงพยาบาล ข้าพเจ้าได้ขนมปังจืดหนึ่งห่อ นมถั่วเหลืองหนึ่งกล่องและน้ำดื่มหนึ่งขวด กลับมายังที่เดิมและจัดการทุกอย่างด้วยความหิวโหย
ประมาณ 10 โมงกว่าๆ ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อคุณชำนาญ ข้าพเจ้ารีบลุกยืนอย่างเร็วโดยไม่รอให้มีเสียงเรียกเป็นครั้งที่สองและรีบไปยังโต๊ะที่เรียกชื่อ
หลังจากถูกซักถามเรื่องอาการต่างๆ ด้วยคำถามตามสูตรสำเร็จรูปแบบเดิมๆ เสร็จเรียบร้อย เธอบอกให้ข้าพเจ้าไปยังศูนย์ตรวจเบาหวานตา อธิบายเส้นทางการไป พร้อมทั้งส่งใบกำกับให้กับข้าพเจ้านำไปยื่นให้ที่โน่น
ข้าพเจ้าไปถึงศูนย์ตรวจตา ซึ่งอยู่บนชั้นที่3 ของอีกตึกถัดไป เห็นมีคนป่วยเรื่องตานั่งรอคิวอยู่จนล้นเก้าอี้ที่จัดไว้ ข้าพเจ้านำใบขอนัดตรวจไปยื่นให้ที่เคาเตอร์และไปยืนรอ เพราะไม่มีที่นั่ง
ประมาณครึ่งชั่วโมง จึงได้ถูกเรียกชื่อให้เข้าไปรับใบนัดให้มาตรวจตา อีก 2 เดือนหลังจากนี้



ข้าพเจ้ากลับมายังศูนย์ 360 องศาอีกครั้ง พร้อมกับใบนัดตรวจตา
จากนั้นพยาบาลก็บอกให้ข้าพเจ้าไปอีกโต๊ะเพื่อตรวจอาการชาบนฝ่าเท้า ทีนี้จึงต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า เพื่อให้พยาบาลเอาปากกามาจิ้มตามจุดต่างๆบนฝ่าตีนของข้าพเจ้าแล้วถามว่า รู้สึกอะไรหรือไม่?อย่างไร? ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่ารู้สึกจั๊กจี้ดี เธอมองหน้าข้าพเจ้าลอดมาจากผ้าอนามัยปิดจมูก ข้าพเจ้าจึงไม่รู้ว่าเธอยิ้มหรือไม่ยิ้มหรือทำปากขมุบขมิบ แต่ในแววตาของเธอ ข้าพเจ้าเดาๆเอา น่าจะมีความหมายว่า “ไอ้แก่ทะลึ่ง!
ต่อจากนั้น เธอก็ชี้ให้ข้าพเจ้าไปยังโต๊ะที่มีคุณหมอสาวและสวยมากๆ ข้าพเจ้าหอบรองเท้า ถุงเท้า ร่องแร่งไปนั่งให้คุณหมอถามโน่น นี่ นั่น ตามสูตรสำเร็จแล้วบอกว่าน้ำตาลในเลือดของข้าพเจ้าลดลงเหลือ 198 พร้อมทั้งพูดยกยอว่าลดได้ดี



หลังจากนั้นคุณหมอก็อบรมเรื่องอาหารการกิน เช่นห้ามกินเผ็ดจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด หวานไม่ต้องพูดถึงห้ามเด็ดขาด กาแฟกินได้ แต่ต้องไม่มีค๊อฟฟี่เมทและน้ำตาล ส่วนของหมัก ของดอง ของทอด เช่นหมูสามชั้นคั่วเกลืองี้ ต้มขาหมูงี้ ไส้หมูพะโล้งี้ คอเป็ดพะโล้งี้ ไก่ทอดสูตรหาดใหญ่งี้ ซึ่งเป็นของโปรดทั้งนั้น ห้ามกินโดยเด็ดขาดแม้กระทั่งข้าวสวยก็ห้ามกินมาก ผลไม้ก็กินได้เฉพาะที่มีราคาแพงเท่านั้นเช่น แอ็ปเปิ้ล แก้วมังกรและกล้วยหอม(ไม่ได้ยินเรื่องห้ามกินเหล้าและเบียร์)
โอ้ยยยย แล้วนายชำมะเท่ง กินอะไรได้มั่งละครับคุณหมอ?
ปลาเท่านั้น ปลา ปลา ปลา ๆ ๆ ๆ ๆ เข้าใจมั๊ย?!
หลังจากนั้นก็เป็นการอบรมเรื่องการประพฤติปฏิบัติตัวของข้าพเจ้าเช่น กินยาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด ออกกำลังกายพอสมควร พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าเครียด..แต่คุณหมอครับทุกอย่างที่คุณหมอบอกมานั้น มันตรงกันข้ามกับการใช้ชีวิตประจำวันของนายชำมะเท่ง แบบฟ้ากับดินจริงๆ..ข้าพเจ้าได้แค่คิดในใจ
หลังจากจบหลักสูตรการอบรม คุณหมอได้นัดให้ข้าพเจ้ามาพบครั้งต่อไปอีก 3 เดือนหลังจากวันนี้  พร้อมทั้งเขียนใบสั่งยาให้ข้าพเจ้านำไปยังห้องจ่ายยา



เสร็จสรรพจากตรงนั้น เหลือเวลาอีกประมาณ 15 นาทีจะเที่ยงวัน ข้าพเจ้ารีบตรงไปยังห้องจ่ายยา เพื่อว่าอาจจะได้รับก่อนพักเที่ยง
ไม่ผิดหวัง ข้าพเจ้าได้รับยาเรียบร้อยเมื่อเวลาเที่ยงพอดี แต่มันมีจำนวนมาก จนน่าจะเอาไปกินแทนข้าวได้ทุกมื้อ

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

ประสบการณ์ลิ่มเลือดอุดตัน(2)



            เมื่อตอนที่แล้ว ข้าพเจ้าได้นอนเตียงเสริมอยู่กลางสามแยกที่ไม่มีไฟแดง หน้าห้องผู้ป่วยอายุรกรรมและได้บอกกับพยาบาลว่าต้องการห้องพิเศษ
            หลังจากได้รับคำตอบที่น่าเศร้าใจว่าห้องพิเศษจองยาก ข้าพเจ้าก็ได้แต่นอนปลงอนิจจังและยอมรับสภาพว่าเราเข้ามารับการรักษาในสถานะผู้ป่วยใช้สิทธิ์ผู้สูงวัย จึงไม่ควรจะเรียกร้องในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ได้บอกให้ลูกชายลองไปติดต่อสอบถามที่ห้องลงทะเบียนดูว่าพอจะเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร
หลังจากนั้น ข้าพเจ้านอนปิดตาสงบจิต สงบใจนิ่งๆ กระทั่งพอเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงหวานๆว่า ลุง ลุง ตื่นๆ ฉีดยา
ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นเห็นนางฟ้าหน้าหวาน กำลังยืนก้มมองข้าพเจ้าอยู่ด้วยสีหน้าเรียบๆ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นรอยยิ้มจากนางฟ้าพวกนี้เลยตั้งแต่เข้ามาที่นี่ จึงทายใจไม่ถูกว่าพวกเธอแต่ละคนใจดีหรือใจร้ายกันแน่!?
            ฉีดยาอะไรครับ?” ข้าพเจ้าถามนางฟ้าอย่างเพลียๆ
            ยาลดไขมันในเลือดค่ะ ลุงมีไขมันในเลือดตั้ง 800 นะ อยู่มาได้ยังไงก็ไม่รู้เธอบอกข้าพเจ้า พร้อมกับคำพูดแสดงความแปลกใจ คล้ายกับว่า “ลุงน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว” อะไรประมาณนั้น (ตามความเข้าใจของข้าพเจ้าคนเดียว)
            หลังจากนั้นเธอก็ฉีดยาลดไขมันที่สะดือของข้าพเจ้าอย่างประณีตบรรจง แล้วบอกให้ข้าพเจ้านอนรอหมอมาตรวจอาการอีกที
            ช่วงเวลาที่รอหมอ ข้าพเจ้ามีความจำเป็นจะต้องไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในสุดของห้องอายุรกรรม พร้อมกับขับเสาน้ำเกลือไปด้วยอย่างทุลักทุเล เพราะเสาน้ำเกลือชนโน่น ชนนี่ตลอดทางทั้งขาไป ขากลับ ด้วยความคับแคบของทางเดิน
หลังจากที่ข้าพเจ้านั่งหอบหน้าซีดอยู่บนเตียง มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงมาส่งอาหารให้ผู้ป่วยตามเตียงต่างๆ พร้อมกับส่งให้ข้าพเจ้าหนึ่งถาดหลุม ข้าพเจ้ามองข้าวต้มโจ๊กไก่ในถาดหลุมนั่นอย่างเศร้าใจ เพราะไม่มีช้อนกินข้าวให้มาด้วย ข้าพเจ้าถามหาช้อนจากเธอคนนั้น เธอตอบด้วยน้ำเสียงเหี้ยมๆว่า “ไม่มีหรอก แต่เดี๋ยวจะหาให้” ก็ยังดี ที่ยังมีน้ำใจอยู่บ้าง ข้าพเจ้าคิดในใจ
            ไม่นานหลังจากข้าพเจ้าพยายามกินโจ๊กนั่นด้วยความหิวโหย โดยไม่ได้คำนึงถึงรสชาดใดๆ ลูกชายก็กลับมาบอกว่า จองห้องพิเศษไว้ได้แล้ว แต่ต้องรอให้คนที่อยู่ก่อนเขาออกไป หลังจากนั้นเขาจะแจ้งมาที่พยาบาลเพื่อจะได้ย้ายเราเข้าไปแทน ข้าพเจ้าเข้าใจคำพูดของคนทำความสะอาดที่พูดว่า “หายป่วยกลับไปก็ยังไม่ได้ห้องพิเศษ”
            ประมาณเกือบ 9 โมงเช้า ขณะที่ข้าพเจ้านอนเบลอๆ เพราะฤทธิ์ยา มีหนุ่มสาว 2 คน หน้าตาละอ่อนทั้งคู่ ใส่เสื้อคลุมแขนสั้นสีขาว เขียนว่ากระทรวงสาธารณสุขบนกระเป๋าเสื้อ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นแพทย์จบใหม่หรือแพทย์ฝึกหัดกันแน่ เขา(คนหนุ่ม)เอาหูฟังมาจิ้มๆที่บริเวณหน้าอกทั้งสองข้างและบริเวณท้องของข้าพเจ้า หลังจากนั้นก็ถามอาการเหมือนกับที่พยาบาลทุกคนถามมาก่อนหน้านี้ ตบท้ายกับคำถามว่า ถ้าคะแนนเต็ม10 ตอนนี้ลุงให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่(อีกครั้ง) ข้าพเจ้าตอบว่าประมาณ 8 คะแนน พวกเขาทั้งสองยืนปรึกษากันหนุงหนิงๆ สักครู่ แล้วก็จดบันทึกยิกๆ ลงบนชาร์ตประวัติผู้ป่วย
            ไม่นานหลังจากนั้น มีนายแพทย์ตัวจริง(ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า)มายืนอยู่ข้างเตียงและมองข้าพเจ้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ฟังรายงานจากละอ่อนผู้ชายซึ่งข้าพเจ้าได้ยินว่า “ผู้ป่วยชายอายุ 62 ปี มีน้ำตาลในเลือด361..มีไขมันในเลือด800 ..หัวใจ บลาๆๆๆๆ..อาการ บลาๆๆๆ และ..บลาๆๆๆ”
หมายเหตุ..บลาๆๆๆ เป็นภาษาแพทย์ ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้
            หลังจากได้รับรายงานโดยวาจาเสร็จสิ้น นายแพทย์ตัวจริงพยักหน้า 3 หงึก แล้วเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย..ข้าพเจ้าขอเศร้าใจแป๊บ
            ข้าพเจ้านอนฟังเสียงกบ เขียด ปาด อึ่งอ่าง คางคกและเสียงสัตว์ต่างๆ ซึ่งร้องประสานเสียงออกมาจากในห้องผู้ป่วยและรอบๆเตียงของข้าพเจ้าอย่างเคลิบเคลิ้มต่อไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ตลอดเวลานั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นมีการทะยอยเข็นเตียงผู้ป่วยออกจากห้องไปเป็นระยะๆ บางเตียงห่มผ้าตั้งแต่คอคลุมปิดมิดปลายเท้า มีเสาน้ำเกลือห้อยโตงเตงไปด้วย บางเตียงห่มคลุมหน้ามิดชิดถึงปลายเท้า โดยมีญาติๆเดินร้องไห้ตามไปด้วย หลายๆเตียงญาติเก็บข้าวของทะยอยกันกลับบ้าน ส่วนตรงสามแยกรอบๆเตียงข้าพเจ้าต่างก็ทะยอยไปจนหมด เหลือข้าพเจ้าอยู่เตียงเดียว รู้สึกเหงาๆ วังเวง ว้าเหว่เหมือนกัน
กระทั่งเมื่อมีเจ้าหน้าที่มาส่งอาหารเที่ยงให้ผู้ป่วย แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้กิน เพราะเขาไม่มีช้อนให้เหมือนตอนเช้า ข้าพเจ้าจึงบอกให้ลูกชายไปหาซื้อพวกซาลาเปาและนมถั่วเหลืองมากินพอประทังหิว
ประมาณบ่ายโมงแก่ๆ มีนางฟ้ามาบอกว่าวันนี้หมอให้กลับบ้านได้ พร้อมกับเอาใบสั่งยามาให้และบอกว่าให้ญาติไปเอายาที่ห้องยากลับมาให้พยาบาลที่นี่ ข้าพเจ้าจึงบอกให้ลูกสะใภ้เป็นคนไปเอายา
ลูกสะใภ้หายไปประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วกลับมาบอกข้าพเจ้าว่า เจ้าหน้าที่ห้องยาจะเอายามาให้เอง ข้าพเจ้าชักจะ งงๆ แต่ก็บอกให้ลูกสะใภ้ไปแจ้งที่ห้องพยาบาลว่าทางห้องยาเขาจะเอายามาให้เอง
ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าจำต้องนอนฟังเสียงสัตว์ต่างๆต่อไป แต่ก็เบาบางลงกว่าเมื่อช่วงเช้ามาก กระทั่งประมาณบ่าย 3 โมงอ่อนๆ ยังไม่มีอะไรคืบหน้าทั้งที่ข้าพเจ้าได้เซ็นเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยไปนานแล้ว มีความรู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นสักอย่างแน่ๆ จึงได้บอกลูกชายให้ไปที่ห้องพยาบาลและให้บอกเขาว่า ถ้าทางห้องยายังไม่ส่งยามาให้ เราขอไปรับยาเองก็ได้
เจ้าลูกชายหายไปสัก 2-3 นาที กลับมาพร้อมกับนางฟ้า เมื่อมาถึงเธอส่งใบนัดให้ข้าพเจ้าเพื่อมาตรวจเลือดและพบหมอในครั้งต่อไป หลังจากนั้นจึงจัดการถอดเข็มน้ำเกลือออกจากหลังมือของข้าพเจ้าพร้อมกับบอกว่า “ลุงไปขอรับยาที่ห้องยาด้วยตัวเองแล้วกลับบ้านได้เลยนะ ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว”
“ครับ” ข้าพเจ้าตอบไปอย่าง งงๆ(อ้าวววว แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้..ข้าพเจ้าคิดในใจ)
หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ชวนลูกหลาน เดินกันเป็นพรวนไปที่ห้องยา เมื่อไปถึงห้องยาซึ่งอยู่ชั้นล่างใกล้กับห้องทำบัตร ข้าพเจ้าตรงดิ่งไปที่ช่องจ่ายยา บอกชื่อเสียงเรียงนามอย่างเสียงดังฟังชัด เจ้าหน้าที่เงยหน้าจากโทสัพ แล้วหยิบถุงยาที่จัดเตรียมไว้แล้วส่งให้ข้าพเจ้าทันที พร้อมกับบอกว่า “ลุงกินยาตามหน้าซองที่บอกไว้นะ”
“ครับ” ข้าพเจ้าตอบไปอย่าง งงๆ(อีกครั้ง)
ข้าพเจ้ารีบชวนลูก ชวนหลานเดินออกมาที่รถอย่าง งงๆ(เพื่อกลับบ้าน)
จบสวยหรือจบไม่สวย ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจนัก

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

ประสบการณ์ลิ่มเลือดอุดตัน(1)



            ประมาณตี 1 ของคืนต้นเดือนเมษายน 61 หลังจากลุกขึ้นไปเยี่ยวแล้วกลับมานอนต่อ แต่มีความรู้สึกเหมือนกับหายใจไม่ค่อยจะเต็มปอด พยายามหายใจลึกๆ แต่ก็ไม่รู้สึกดีขึ้น กลับรู้สึกเหนื่อยเพิ่มขึ้นและรู้สึกจุกแน่นที่บริเวณหัวใจ มีอาการเหมือนกำลังจะเป็นลม จึงลุกขึ้นไปหายาลมกิน ลูกชายที่นั่งเล่นเกมส์คอมฯอยู่ รู้สึกสงสัย ถามว่าพ่อเป็นอะไร?ข้าพเจ้าเล่าอาการให้ฟังอย่างที่เป็น..
เขาบอกว่าอาการแบบนี้ต้องไปโรงพยาบาลนะ
ข้าพเจ้าว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอก กินยาลมแล้วเดี๋ยวก็คงจะหาย
            เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาทีหลังจากกินยาลม อาการไม่ดีขึ้น กลับหายใจยากขึ้นจนรู้สึกหน้ามืดและใจสั่น จึงบอกลูกชายให้พาไปโรงพยาบาล
            ประมาณ 15 นาที จากบ้านถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัด ลูกชายจอดรถส่งข้าพเจ้าที่หน้าห้องฉุกเฉินก่อนที่เขาจะขับรถไปหาที่จอดซึ่งหายากมากที่โรงพยาบาลแห่งนี้
            ข้าพเจ้าลงจากรถเดินกะย่องกะแย่งผ่านคนหน้าตาซีดเซียวอมทุกข์หลายคนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นไปที่โต๊ะคัดแยกผู้ป่วยที่หน้าห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีแต่เครื่องวัดความดันเก่าๆวางอยู่ ไม่มีพยาบาล ไม่มีผู้ช่วยพยาบาล ไม่มีแม้แต่เวรเปลหรือใครทั้งสิ้นที่เกี่ยวข้องเป็นพนักงานของโรงพยาบาล ข้าพเจ้าเริ่มหมดแรง หน้ามืดจึงนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะนั่นและฟุบหน้าบนโต๊ะอย่างทอดอาลัย
            นานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียก “ลุง ลุง เป็นอะไร?”
             “แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก” ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นตอบ
            “ลุงทำบัตรหรือยัง? มีญาติมาไหม?” เธอถามต่อ
            “ยังไม่ได้ทำบัตร มากับลูกชาย กำลังเอารถไปจอด” ข้าพเจ้าพยายามตอบ
            เธอถามชื่อข้าพเจ้าและเรียกเวรเปลมาจัดการเอาข้าพเจ้าขึ้นเปลเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
            ในห้องฉุกเฉิน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเด็กร้องด้วยความเจ็บปวดและเรียกหาแม่ตลอดเวลา ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญคราง ได้ยินเสียงคนแก่ครางฮือๆ ได้ยินเสียงหมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สอบถามผู้ป่วยถึงอาการต่างๆ
            เวรเปลเข็นข้าพเจ้าไปจอดเทียบกับเตียงด้านในสุด ซึ่งมีคนนอนสงบนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าเหลือบเห็นปลายเท้าที่โผล่ออกมาจากผ้าที่คลุมตั้งแต่หัว ซีดขาวมากกว่าคนปกติ ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า!?
เวลาผ่านไปพอสมควร มีพยาบาลมาถามชื่อและอาการของข้าพเจ้า วัดความดัน วัดคลื่นหัวใจ เจาะเลือดและดูดเลือดไปหลอดใหญ่ หลังจากนั้นก็เอากระปุกเล็กๆให้ข้าพเจ้า บอกให้ไปเยี่ยวใส่กระปุกมาให้เขา
 ข้าพเจ้าลงจากเตียงเข็นโดยการพยุงของพยาบาลไปหน้าห้องน้ำ ก่อนเข้าห้องน้ำเธอบอกว่า “ทำความสะอาดอวัยวะเพศก่อนฉี่นะลุง” ข้าพเจ้าพยักหน้าให้เธอสองหงึกก่อนเข้าห้องน้ำ
            หลังออกจากห้องน้ำพร้อมกระปุกเยี่ยวส่งให้พยาบาลคนเดิม เธอพยุงไปที่เตียงอย่างทุลักทุเล เพราะข้าพเจ้ามือแขนชาและกำลังหมดแรงลงเรื่อยๆ
            เมื่อมาถึงเตียง เขาเอายาเม็ดมาให้อมไว้ใต้ลิ้น ประมาณ2-3 นาที หลังจากนั้น เขาถามว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง? ดีขึ้นบ้างไหม? ถ้าคะแนนเต็มสิบ จะให้คะแนนเท่าไหร่..ข้าพเจ้าให้คะแนนตัวเองไปตามความรู้สึกในขณะนั้นว่าประมาณครึ่งของคะแนนเต็ม..เขาพยักหน้าอย่างพอใจและบอกให้ข้าพเจ้านอนรอฟังผลเลือดต่อไป
กระทั่งตีสามครึ่ง จึงมีหมอหนุ่ม หน้าตาดีเหมือนพระเอก“บุพเพสันนิวาส” มาถามอาการและบอกข้าพเจ้าว่า “ลุงเป็นลิ่มเลือดอุดตันนะ ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อจะดูอาการอีกสักวัน” ข้าพเจ้าก็ได้แต่พยักหน้ารับทราบ
            หลังจากนั้นก็มีรายการวัดความดันอีกครั้ง วัดคลื่นหัวใจอีกครั้งและฉีดยาที่สะดือหนึ่งเข็ม ก่อนฉีดข้าพเจ้าถามพยาบาลว่าเป็นยาอะไร จึงต้องฉีดที่สะดือ(เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ถูกหมาบ้ากัด)..เธอบอกว่าเป็นยาลดน้ำตาล ลุงมีน้ำตาลในเลือดตั้ง361นะ โดยปกติคนมีน้ำตาลสูงขนาดนี้ เขาช๊อคตายไปเยอะแล้วนะ..ทำเอาข้าพเจ้าสะดุ้งเยือก
            หัวรุ่งคืนนี้ คนไข้ฉุกเฉินไม่มีเข้ามาเลย ห้องฉุกเฉินจึงเงียบเชียบดี ข้าพเจ้านอนอยู่บนเตียงเข็นในห้องฉุกเฉินติดกับคนที่ไม่ขยับตัวเลยตั้งแต่เราเจอกัน วินาทีนี้ข้าพเจ้ามั่นใจ 10 คะแนนเต็มตามที่ระแวง เพราะตั้งแต่ข้าพเจ้ามานอนอยู่ใกล้เขา ไม่เห็นมีพยาบาลหรือหมอมาถามอาการ วัดความดัน วัดคลื่นหัวใจ เจาะเลือดหรือทำอะไรกับเขาเลย ข้าพเจ้าไม่กลัวผีหรอก..แต่ก็ไม่ชอบนอนติดกับคนตายสักเท่าไหร่ หึหึ.
กระทั่งตีห้าครึ่ง ข้าพเจ้ารู้เวลาเพราะจะเหลือบตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่ใกล้โต๊ะหมอเวรบ่อยๆ
พยาบาลมาถามว่า “ลุงมีญาติหรือเปล่า?”
“มีลูกชายครับ แต่ตอนนี้เขากลับบ้าน จะมาตอนเช้า” ข้าพเจ้าตอบเธอ
“ถ้ายังงั้น เราจะย้ายลุงไปที่ตึกผู้ป่วยก่อนนะ” เธอบอก
ข้าพเจ้าพยักหน้าเชิงรับรู้
หลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เวรเปลหน้าตายับยู่ยี่(คงจะถูกปลุกจากนั่งหลับ)มาเข็นเตียงข้าพเจ้า กระแทกโน่น กระทบนั่น ตึงตัง โครมคราม ไปเข้าลิฟท์ ขึ้นไปชั้นที่2 ออกจากลิฟท์ เขาเข็นไปจอดเอี๊ยดอยู่ในทางเดินแคบๆ แสงไฟสลัวๆ ไม่มีคนแม้แต่คนเดียว แล้วเขาก็หายไปทางไหนก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าสังเกตไม่ทัน
ประมาณ 5 นาทีหลังจากนั้น มีผู้ชายอีกคน มาจากทางไหนก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน เข็นข้าพเจ้าเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้ารู้ทันทีจากประสบการณ์ว่าเป็นห้องเอ็กซ์เรย์
“ทำไมต้องเอ็กซ์เรย์ด้วย?” ข้าพเจ้าถามเขาเบาๆอย่างเกรงใจ
“ไม่รู้ ต้องถามหมอเอาเอง” เขาตอบหนักๆ อย่างไม่เกรงใจ
ข้าพเจ้าเงียบกริบและทำตามคำสั่งของเขา ซึ่งบอกให้ข้าพเจ้านอนนิ่งๆอย่าหายใจ ข้าพเจ้าทำตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่าย หึหึ
เสร็จสิ้นขบวนการ เขาเข็นข้าพเจ้ามาไว้ในทางเดินแคบๆที่เดิม แต่เริ่มมีแสงสว่างจากภายนอกเข้ามาบ้างแล้ว
ไม่นาน เวรเปลคนแรกก็มาเข็นข้าพเจ้าต่อไปตามทางเดินซึ่งเริ่มเห็นคนเดินกันพลุกพล่านบ้างแล้ว ผ่านตึกต่างๆ กระทั่งขึ้นไปชั้นที่2 ของตึกอายุรกรรมชาย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะถูกเจาะคอเพื่อให้อาหารทางสายยางและหายใจกับเครื่องอ๊อกซิเจน บางคนนอนตาค้างเหมือนปลาตายก็มี ประมาณว่าเข้าขั้น “โคม่า”เกือบทุกคน
เจ้าหนุ่มหน้ายู่ยี่ พยายามเข็นเตียงของข้าพเจ้าเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยเตียงของผู้ป่วย แม้กระทั่งตามทางเดิน กระทบกระแทกเบียดเสียดเข้าไปเพื่อหาเตียงว่างให้กับข้าพเจ้า แต่เข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งทางก็ต้องเบรกกึก เมื่อพยาบาลคนหนึ่งตะโกนมาว่า “ไม่ต้องเข้ามา ไม่มีเตียงว่าง พาไปรอหน้าห้องก่อน” นั่นแหละเขาถึงได้ยอมพาข้าพเจ้าถอยออกมาจอดไว้ที่หน้าห้องแล้วบอกข้าพเจ้าว่า “นอนอยู่นี่ก่อนนะ รอเตียงว่าง” แล้วเขาก็จากไปอย่างไม่ใยดี ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าแป๊ป!.
ประมาณเกือบๆ 8 โมงเช้า ในขณะที่ข้าพเจ้านอนดูผู้คนเดินกันพลุกพล่านและกำลังรู้สึกเวทนาตัวเองอยู่นั้น ก็มีนางฟ้าชุดขาวคนหนึ่งเข้ามาถามชื่อและขอดูดเลือดอีกหลอด แล้วบอกข้าพเจ้าว่าให้รอสักแป๊บจะหาเตียงให้
แป๊บหนึ่งจริงๆ ข้าพเจ้าก็ได้ลงไปนอนบนเตียงเสริมเตี้ยๆเหมือนเตียงไม้ที่มีขายตามงานวัด ซึ่งเจ้าหน้าที่เอามาจัดวางไว้ตรงกลางสามแยกพอดี เพราะปลายเตียงเป็นทางเข้าห้องผู้ป่วย ถัดไปทางซ้ายมือเป็นลิฟท์ ถัดไปอีกมีเตียงผู้ป่วย 2 เตียงอยู่ในซอก ถัดไปอีกเป็นประตูออกไประเบียงตึก ทางด้านขวามือถัดจากทางเข้าห้องผู้ป่วย มีเตียงผู้ป่วย 2 เตียงอยู่ในซอก ถัดไปเป็นบันไดขึ้นลงและบนหัวนอนของข้าพเจ้ามีเตียงผู้ป่วยตลอดผนังริมหน้าต่าง เตียงของข้าพเจ้าจึงอยู่กลาง 3 แยกพอดีและเป็น 3 แยกที่ไม่มีไฟสัญญาณจราจรเสียด้วย การจราจรที่คับคั่ง จึงมีการกระทบกระทั่ง เฉี่ยวชนกันตลอดเวลา ข้าพเจ้านอนเฉี้ยว เฉียว
ข้าพเจ้าถามนางฟ้าคนหนึ่งที่เดินมาใกล้ๆว่าพอจะมีห้องพิเศษบ้างไหม?
เธอบอกว่าต้องไปติดต่อสอบถามที่ห้องทำบัตรลงทะเบียน
มีเสียงแทรกมาจากใกล้ๆ “โอ้ยยย อย่าไปถามให้เสียเวลาเล้ย ห้องพิเศษไม่ว่างหรอก บางคนมาจองไว้ จนหายป่วยกลับไปก็ยังไม่ได้” ข้าพเจ้าหันมองไปตามเสียงก็เห็นผู้หญิงคนที่พูดกำลังถูพื้นอยู่

โปรดติดตามตอนต่อไป..