วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561

ประสบการณ์ลิ่มเลือดอุดตัน(2)



            เมื่อตอนที่แล้ว ข้าพเจ้าได้นอนเตียงเสริมอยู่กลางสามแยกที่ไม่มีไฟแดง หน้าห้องผู้ป่วยอายุรกรรมและได้บอกกับพยาบาลว่าต้องการห้องพิเศษ
            หลังจากได้รับคำตอบที่น่าเศร้าใจว่าห้องพิเศษจองยาก ข้าพเจ้าก็ได้แต่นอนปลงอนิจจังและยอมรับสภาพว่าเราเข้ามารับการรักษาในสถานะผู้ป่วยใช้สิทธิ์ผู้สูงวัย จึงไม่ควรจะเรียกร้องในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ได้บอกให้ลูกชายลองไปติดต่อสอบถามที่ห้องลงทะเบียนดูว่าพอจะเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร
หลังจากนั้น ข้าพเจ้านอนปิดตาสงบจิต สงบใจนิ่งๆ กระทั่งพอเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงหวานๆว่า ลุง ลุง ตื่นๆ ฉีดยา
ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นเห็นนางฟ้าหน้าหวาน กำลังยืนก้มมองข้าพเจ้าอยู่ด้วยสีหน้าเรียบๆ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นรอยยิ้มจากนางฟ้าพวกนี้เลยตั้งแต่เข้ามาที่นี่ จึงทายใจไม่ถูกว่าพวกเธอแต่ละคนใจดีหรือใจร้ายกันแน่!?
            ฉีดยาอะไรครับ?” ข้าพเจ้าถามนางฟ้าอย่างเพลียๆ
            ยาลดไขมันในเลือดค่ะ ลุงมีไขมันในเลือดตั้ง 800 นะ อยู่มาได้ยังไงก็ไม่รู้เธอบอกข้าพเจ้า พร้อมกับคำพูดแสดงความแปลกใจ คล้ายกับว่า “ลุงน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว” อะไรประมาณนั้น (ตามความเข้าใจของข้าพเจ้าคนเดียว)
            หลังจากนั้นเธอก็ฉีดยาลดไขมันที่สะดือของข้าพเจ้าอย่างประณีตบรรจง แล้วบอกให้ข้าพเจ้านอนรอหมอมาตรวจอาการอีกที
            ช่วงเวลาที่รอหมอ ข้าพเจ้ามีความจำเป็นจะต้องไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในสุดของห้องอายุรกรรม พร้อมกับขับเสาน้ำเกลือไปด้วยอย่างทุลักทุเล เพราะเสาน้ำเกลือชนโน่น ชนนี่ตลอดทางทั้งขาไป ขากลับ ด้วยความคับแคบของทางเดิน
หลังจากที่ข้าพเจ้านั่งหอบหน้าซีดอยู่บนเตียง มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงมาส่งอาหารให้ผู้ป่วยตามเตียงต่างๆ พร้อมกับส่งให้ข้าพเจ้าหนึ่งถาดหลุม ข้าพเจ้ามองข้าวต้มโจ๊กไก่ในถาดหลุมนั่นอย่างเศร้าใจ เพราะไม่มีช้อนกินข้าวให้มาด้วย ข้าพเจ้าถามหาช้อนจากเธอคนนั้น เธอตอบด้วยน้ำเสียงเหี้ยมๆว่า “ไม่มีหรอก แต่เดี๋ยวจะหาให้” ก็ยังดี ที่ยังมีน้ำใจอยู่บ้าง ข้าพเจ้าคิดในใจ
            ไม่นานหลังจากข้าพเจ้าพยายามกินโจ๊กนั่นด้วยความหิวโหย โดยไม่ได้คำนึงถึงรสชาดใดๆ ลูกชายก็กลับมาบอกว่า จองห้องพิเศษไว้ได้แล้ว แต่ต้องรอให้คนที่อยู่ก่อนเขาออกไป หลังจากนั้นเขาจะแจ้งมาที่พยาบาลเพื่อจะได้ย้ายเราเข้าไปแทน ข้าพเจ้าเข้าใจคำพูดของคนทำความสะอาดที่พูดว่า “หายป่วยกลับไปก็ยังไม่ได้ห้องพิเศษ”
            ประมาณเกือบ 9 โมงเช้า ขณะที่ข้าพเจ้านอนเบลอๆ เพราะฤทธิ์ยา มีหนุ่มสาว 2 คน หน้าตาละอ่อนทั้งคู่ ใส่เสื้อคลุมแขนสั้นสีขาว เขียนว่ากระทรวงสาธารณสุขบนกระเป๋าเสื้อ ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นแพทย์จบใหม่หรือแพทย์ฝึกหัดกันแน่ เขา(คนหนุ่ม)เอาหูฟังมาจิ้มๆที่บริเวณหน้าอกทั้งสองข้างและบริเวณท้องของข้าพเจ้า หลังจากนั้นก็ถามอาการเหมือนกับที่พยาบาลทุกคนถามมาก่อนหน้านี้ ตบท้ายกับคำถามว่า ถ้าคะแนนเต็ม10 ตอนนี้ลุงให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่(อีกครั้ง) ข้าพเจ้าตอบว่าประมาณ 8 คะแนน พวกเขาทั้งสองยืนปรึกษากันหนุงหนิงๆ สักครู่ แล้วก็จดบันทึกยิกๆ ลงบนชาร์ตประวัติผู้ป่วย
            ไม่นานหลังจากนั้น มีนายแพทย์ตัวจริง(ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า)มายืนอยู่ข้างเตียงและมองข้าพเจ้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ฟังรายงานจากละอ่อนผู้ชายซึ่งข้าพเจ้าได้ยินว่า “ผู้ป่วยชายอายุ 62 ปี มีน้ำตาลในเลือด361..มีไขมันในเลือด800 ..หัวใจ บลาๆๆๆๆ..อาการ บลาๆๆๆ และ..บลาๆๆๆ”
หมายเหตุ..บลาๆๆๆ เป็นภาษาแพทย์ ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้
            หลังจากได้รับรายงานโดยวาจาเสร็จสิ้น นายแพทย์ตัวจริงพยักหน้า 3 หงึก แล้วเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย..ข้าพเจ้าขอเศร้าใจแป๊บ
            ข้าพเจ้านอนฟังเสียงกบ เขียด ปาด อึ่งอ่าง คางคกและเสียงสัตว์ต่างๆ ซึ่งร้องประสานเสียงออกมาจากในห้องผู้ป่วยและรอบๆเตียงของข้าพเจ้าอย่างเคลิบเคลิ้มต่อไป
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ตลอดเวลานั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นมีการทะยอยเข็นเตียงผู้ป่วยออกจากห้องไปเป็นระยะๆ บางเตียงห่มผ้าตั้งแต่คอคลุมปิดมิดปลายเท้า มีเสาน้ำเกลือห้อยโตงเตงไปด้วย บางเตียงห่มคลุมหน้ามิดชิดถึงปลายเท้า โดยมีญาติๆเดินร้องไห้ตามไปด้วย หลายๆเตียงญาติเก็บข้าวของทะยอยกันกลับบ้าน ส่วนตรงสามแยกรอบๆเตียงข้าพเจ้าต่างก็ทะยอยไปจนหมด เหลือข้าพเจ้าอยู่เตียงเดียว รู้สึกเหงาๆ วังเวง ว้าเหว่เหมือนกัน
กระทั่งเมื่อมีเจ้าหน้าที่มาส่งอาหารเที่ยงให้ผู้ป่วย แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้กิน เพราะเขาไม่มีช้อนให้เหมือนตอนเช้า ข้าพเจ้าจึงบอกให้ลูกชายไปหาซื้อพวกซาลาเปาและนมถั่วเหลืองมากินพอประทังหิว
ประมาณบ่ายโมงแก่ๆ มีนางฟ้ามาบอกว่าวันนี้หมอให้กลับบ้านได้ พร้อมกับเอาใบสั่งยามาให้และบอกว่าให้ญาติไปเอายาที่ห้องยากลับมาให้พยาบาลที่นี่ ข้าพเจ้าจึงบอกให้ลูกสะใภ้เป็นคนไปเอายา
ลูกสะใภ้หายไปประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วกลับมาบอกข้าพเจ้าว่า เจ้าหน้าที่ห้องยาจะเอายามาให้เอง ข้าพเจ้าชักจะ งงๆ แต่ก็บอกให้ลูกสะใภ้ไปแจ้งที่ห้องพยาบาลว่าทางห้องยาเขาจะเอายามาให้เอง
ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าจำต้องนอนฟังเสียงสัตว์ต่างๆต่อไป แต่ก็เบาบางลงกว่าเมื่อช่วงเช้ามาก กระทั่งประมาณบ่าย 3 โมงอ่อนๆ ยังไม่มีอะไรคืบหน้าทั้งที่ข้าพเจ้าได้เซ็นเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยไปนานแล้ว มีความรู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นสักอย่างแน่ๆ จึงได้บอกลูกชายให้ไปที่ห้องพยาบาลและให้บอกเขาว่า ถ้าทางห้องยายังไม่ส่งยามาให้ เราขอไปรับยาเองก็ได้
เจ้าลูกชายหายไปสัก 2-3 นาที กลับมาพร้อมกับนางฟ้า เมื่อมาถึงเธอส่งใบนัดให้ข้าพเจ้าเพื่อมาตรวจเลือดและพบหมอในครั้งต่อไป หลังจากนั้นจึงจัดการถอดเข็มน้ำเกลือออกจากหลังมือของข้าพเจ้าพร้อมกับบอกว่า “ลุงไปขอรับยาที่ห้องยาด้วยตัวเองแล้วกลับบ้านได้เลยนะ ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว”
“ครับ” ข้าพเจ้าตอบไปอย่าง งงๆ(อ้าวววว แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้..ข้าพเจ้าคิดในใจ)
หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ชวนลูกหลาน เดินกันเป็นพรวนไปที่ห้องยา เมื่อไปถึงห้องยาซึ่งอยู่ชั้นล่างใกล้กับห้องทำบัตร ข้าพเจ้าตรงดิ่งไปที่ช่องจ่ายยา บอกชื่อเสียงเรียงนามอย่างเสียงดังฟังชัด เจ้าหน้าที่เงยหน้าจากโทสัพ แล้วหยิบถุงยาที่จัดเตรียมไว้แล้วส่งให้ข้าพเจ้าทันที พร้อมกับบอกว่า “ลุงกินยาตามหน้าซองที่บอกไว้นะ”
“ครับ” ข้าพเจ้าตอบไปอย่าง งงๆ(อีกครั้ง)
ข้าพเจ้ารีบชวนลูก ชวนหลานเดินออกมาที่รถอย่าง งงๆ(เพื่อกลับบ้าน)
จบสวยหรือจบไม่สวย ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจนัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน