เสร็จสิ้นประเพณีถือศีลกินผัก ของจังหวัดภูเก็ต ประจำปี 2553 หลังจากการส่งพระ ที่สะพานหิน เมื่อเที่ยงคืนที่ผ่านมา(16 ต.ค.) ยิ่งใหญ่และอลังการเหมือนทุกปี ทั้งขบวนแห่พระและการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง จากศาลเจ้าต่างๆ
ประเพณีอันยิ่งใหญ่นี้ ได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากทั้งคนไทยและต่างชาติก็มาก ในทางกลับกันการตำหนิ ติติงถึงการแสดงอิทธิฤทธิ์ที่หวาดเสียวเกินไป ของม้าทรงก็มีไม่น้อย ซึ่งแล้วแต่มุมมองและความรู้สึกของแต่ละคน
สำหรับ ชำนาญ ณ.อันดามัน ก็เก็บโน่นนิด เก็บนี่หน่อยมาเล่าสู่กันอ่าน ตามประสาคนชอบเล่า แต่จะมีใครชอบอ่านมากน้อยอย่างไรหรือไม่ อันนี้ไม่ได้ซีเรียส เพราะเข้าใจเรื่องนานาจิตตังพอสมควร
วันนี้จะเล่าเรื่องไป "ลุยไฟ" ที่ "อ๊ามกะทู้" อย่างที่เขียนบอกไว้เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ว่ามีคนชวนมาหลายครั้ง และจะเริ่มเล่าติดต่อกัน ตั้งแต่เช้าของวันที่ 16 ต.ค. ตอนที่ออกจากบ้านมาเก็บภาพ การแห่พระของ อ๊ามหล่อโรง ซึ่งเป็นอ๊าม สุดท้ายของปีนี้ จนกระทั่งไป ลุยไฟ ที่ อ๊ามกะทู้ ในตอนบ่าย
เช้าวันที่ 16 ต.ค. ฝนหยุดตก แต่ท้องฟ้าเหนือเกาะภูเก็ตยังครึ้มสลัว แปดโมงครึ่ง ผมออกจากบ้านมา ตรงไปที่บางเหนียว ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ที่สุดเมื่อมาจากบ้านผม ขณะที่ผมมาถึง ขบวนแห่พระก็มาถึงพอดี
สำหรับวันนี้ เน้นภาพหวาดเสียวมาให้ดูกัน
สำหรับสองคนนี้ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ผมถ่ายมาได้แค่คนเดียว ที่แยก บขส.วันนี้เจออีก กดฉับเข้าให้ทั้งคู่เลย เข้าใจว่า เขาน่าจะเข้าร่วมขบวนแห่พระทุกวันหรืออย่างไร ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดี และเป็นเรื่องปกติ ที่จะเห็นชาวต่างชาติร่วมอยู่ในขบวนแห่พระของศาลเจ้าต่างๆ
ดูภาพแล้วก็มาดูคลิปวีดีโอกัน
--------------------------------------
เสร็จภารกิจจากการเก็บภาพ ที่บางเหนียว ผมกลับเข้าบ้านจนประมาณบ่าย 2 โมง จึงได้ออกมาอีกครั้ง เพื่อพบกับพรรคพวก(เป็นร่างทรงแป๊ะกง) ตามที่นัดกันไว้ ใกล้ๆสี่แยกเขารัง แล้วก็ไป อ๊ามกะทู้ ด้วยกันเพื่อร่วมลุยไฟ ซึ่งจะเริ่มพิธี ประมาณ บ่ายสามโมงสี่สิบห้า ตามกำหนดการ
เรา 3 คน (หมายถึงผม ร่างทรงแป๊ะกงและหลานชายของเขา) มาถึง อ๊ามกะทู้ บ่ายสองโมงเศษ ผมกับร่างทรงแป๊ะกง ปลดสิ่งที่เป็นโลหะในตัวทุกชิ้นออก รวมทั้งกล้องถ่ายรูปตัวเก่งของผมด้วย ฝากไว้กับหลานชาย พร้อมทั้งมอบหมายให้เขาเป็นตากล้องช่วยถ่ายภาพให้ด้วยและเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาไม่ค่อยจะเข้าใจมุมกล้องสักเท่าไหร่ ผมจึงไม่ได้ภาพตามที่ต้องการเลย แม้แต่รูปของผมกับของลุงมัน (ถามมันทีหลัง มันบอกว่าโดนบังหน้ากล้อง) เฮ้อ....เซ็งเป็ดเลย
เป็นกฏของการลุยไฟ ที่ไม่ให้มีโลหะติดต้วแม้แต่ชิ้นเดียว ในขณะเข้าไปลุยไฟ จะด้วยเหตุผลอันใดผมก็ไม่แน่ใจ และยังมีกฏอื่นๆอีกมากมาย ที่เข้มงวดกวดขันมาก เช่น ห้ามจุดปะทัดโดยเด็ดขาด ห้ามผู้ที่ไม่ได้ใส่ชุดขาวเข้าไปโดยเด็ดขาด ห้ามผู้หญิงเข้าไปในบริเวณที่กำหนดไว้โดยเด็ดขาดและฯลฯ อีกเยอะแยะ
เมื่อปลดทุกอย่าง(ยกเว้นเสื้อผ้า)ออกหมดแล้ว ก็เดินเท้าเปล่า เข้าไปไหว้พระตามจุดต่างๆ ภายในอ๊าม จนครบทุกจุด แล้วรอให้เจ้า ออกจากอ๊าม ออกไปในบริเวณลุยไฟ ที่เจ้าหน้าที่อ๊ามจัดเตรียมถ่านที่เผาไฟคุโชนกองเบอเร่อ ที่ลานหน้าอ๊าม
เมื่อเจ้าทั้งหลายออกมาจากอ๊าม ซึ่งมีทั้งเจ้าอ้วน เจ้าผอม เจ้าหนุ่ม เจ้าแก่ที่เดินถือไม้เท้าหลังค่อมหน้าเกือบจะติดดินก็มี (ผู้รู้บอกว่าอายุเป็นพันปี) ทะยอยออกมาจนหมด ก็เหลือเฉพาะเจ้าที่ใหญ่ที่สุดของอ๊าม ซึ่งลูกศิษย์ต้องเอาเกี้ยว(แบบในหนังจีนกำลังภายใน)ไปรับถึงช่องประตูชั้นในหามออกมา(ซึ่งมีผ้าม่านปิดบังหน้าเกี้ยวเอาไว้ไม่สามารถมองเห็นเจ้าได้) ตรงไปยังลานลุยไฟ นั่นแหละพวกชุดขาว(รวมทั้งผมด้วย)ที่พร้อมจะ(สละฝ่าเท้า)ลุยไฟจึงได้เดินตามไปเป็นแถว เท่าที่ผมสังเกตุคราวๆ ไม่ต่ำจาก 30 คน
เมื่อลงไปถึงบริเวณลานลุยไฟ สัมผัสได้ถึงไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากกองถ่านไฟ กองใหญ่นั้น ผมคิดว่าถ้าคนธรรมดาไม่ใส่เสื้อผ้าเข้าไปใกล้ ผิวหนังต้องเป็นหมูหันแน่ ขนาดพวกเจ้าหน้าที่ ที่ใส่ชุดขาวเสื้อแขนยาว ยังต้องมีผ้าขนหนูชุบน้ำจนเปียกแล้วคลุมหัวคลุมหน้าไว้ตลอดเวลา
ส่วนพวกที่จะ(สละชีพรวมทั้งผมด้วย)ลุยไฟ เขาบอกให้พับขากางเกง ขึ้นมาไว้เหนือเข่า เพื่อป้องกันไม่ให้ไหม้ไฟ
เอาละซิ ขนาดผ้ากางเกงยังกลัวไฟไหม้ แล้วหนังบางๆกับขนหน้าแข้ง มันจะเหลือเรอะ ผมคิดอย่างรู้สึกสยดสะยอง แต่ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จะถอยหลังกลับก็ใช่ที่ เสียชื่อค่ายหมด อีกอย่างเชื่อมั่นว่ามีพี่เลี้ยงดีด้วย ยังไงเสียคงไม่ถึงตายหรอกน่า ปลงได้เรียบร้อย ก็เข้าแถวต่อคิวจากพี่เลี้ยงด้วยความมั่นใจ
เมื่อถึงเวลา 15.45 น.เจ้าองค์แรกก็เริ่มลุยข้ามกองไฟผ่านพ้นไปต้วยดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตามด้วยเสียงปรบมือกึกก้อง ของท่านผู้ชมรอบข้าง ทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติและสื่อมวลชนต่างๆ ไม่ต่ำจากพันคน
เมื่อเจ้าลุยข้ามไปจนหมด ซึ่งมีไม่ต่ำจาก 15 องค์ ต่อไปพวกชุดขาวก็ถึงคิวเชือด
ก่อนที่ผมจะออกมาจาก บริเวณ ก็มีเจ้าแก่มากๆ ที่อยู่ในร่างทรงหนุ่มมากๆ ผ่านมาให้พรผม แล้วก็กลับเข้าอ๊ามไป
องค์นี้ที่ให้พรผม มีคนบอกว่าจี้กง อายุเป็นพันปี
--------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน