วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มะรือโบตก เมื่อ พ.ศ. 2510


นายชำมะนาญ จบชั้น ป.4 เมื่อ ปีการศึกษา พ.ศ. 2510 ที่จังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิม แล้วไปเรียนต่อ ชั้น ป.5 ในปีการศึกษาเดียวกันที่โรงเรียนบ้านมะรือโบตก อำเภอระแงะ จังหวัด นราธิวาส ไปอยู่กับอา น้องผู้ชายคนสุดท้องของพ่อ ซึ่งเป็นครูอยู่ที่นั่น
ด้วยเหตุผลว่า พ่อกับแม่ของผมเป็นผู้สนับสนุนให้อาได้เรียนจบ ปกศ. จากโรงเรียนฝึกหัดครูจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ ปู่ของผมบริจากที่ดินให้หลายร้อยไร่ในสมัยนั้น ปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช
เหตุผลต่อมา อาเป็นคนโสด อยู่บ้านพักครู ไม่มีใครช่วยซักผ้าและหุงข้าวให้กิน
อีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลหลัก จากการวิเคราะห์ของผมในเวลาต่อมา คือโรงเรียนบ้านมะรือโบตก ได้เปิดหลักสูตรการเรียน การสอนชั้น ป.5 ขึ้นเป็นปีการศึกษาแรก เพราะเป็นโรงเรียนหัวหน้ากลุ่มในตำบลมะรือโบตก ทางโรงเรียนคงเกรงว่า จะไม่มีเด็กชั้น ป.5 ให้ครูสอน เพราะว่าเด็กไทยมุสลิม ที่นั่น พอเรียนจบชั้น ป.3-ป.4 พวกเขาก็ออกไปนิก๊ะ (แต่งงาน) มีครอบครัวทำมาหากินกันเป็นส่วนใหญ่ บางคนไม่จบ ป.1 ด้วยซ้ำก็ต้องออกจากการเรียน เพราะเขาพูดภาษาไทยไม่ได้และอีกหลาย ๆ เหตุผล
ด้วยประการฉะนี้ ผมจึงเป็นตัวเลือกของอา ที่ต้องไปเรียนที่นั่น ด้วยการเห็นดี เห็นงามของพ่อ ผมด้วย ส่วนแม่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยสักเท่าไหร่ เพราะผมต้องไปอยู่ไกล ไปมา หาสู่ยากและกลัวลูกจะลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมเป็นลูกคนโตของครอบครัวเสียด้วย
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ต้องไป และยังมีเพื่อนผมอีกคน ที่ตกอยู่ในภาวะ จำยอมเช่นเดียวกับผม รายนั้นเป็นน้องครู ไปจากจังหวัดสงขลา ชื่อ สุดคนึง บุญมณี เป็นผู้ชายทั้งแท่งน่ะครับ แต่ชื่อมันสวยเหมือนผู้หญิง ปัจจุบันเป็นพันเอกพิเศษ สังกัดกองทัพภาคที่4 ผมขออนุญาตเอ่ยนามกับมันแล้ว (มึงอย่าฟ้องกูทีหลังน่ะโว้ย) แหะ แหะ ขออภัยท่านผู้อ่าน ติดปากน่ะครับ ทีกับผม มันเรียกชี่อพ่อผมทุกคำ
 โรงเรียนบ้านมะรือโบตก อยู่ห่างจากสถานีรถไฟมะรือโบ ไปทางทิศเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะนั้นยังเป็นถนนดินแดง
การเดินทางไปบ้านมะรือโบตกใช้รถไฟเป็นหลัก ถ้าขึ้นรถไฟจากสถานีมะรือโบ ไปทางทิศเหนือ จะถึง สถานลาโล๊ะ, สถานีอำเอเรือเสาะ, ยะหา, รามัน แล้วก็ยะลา จากสถานีมะรือโบ ไปทางทิศใต้ รถไฟวิ่งประมาณ 15 นาที จะถึงสถานีอำเภอระแงะ, ป่าไผ่, ไม้แก่น, เจาะไอร้องสุไหงปาดี,สุไหงโกลก
ถ้านั่งรถยนต์ จากมะรือโบไปทางตะวันออก จะถึงอำเภอยี่งอและตัวจังหวัดนราธวาส สมัยนั้นผมเที่ยวตะลอน ๆ ไปกับเพื่อนมุสลิม ทั้งในเมือง ทั้งเข้าป่า ขึ้นเขา หาสัตว์ เก็บผัก เก็บลองกอง ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ไม่มีใครสนใจ ปล่อยให้ร่วงหล่น เต็มโคนต้น ผิดกับสมัยนี้ กิโลฯเป็นร้อย แต่ก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีกแล้ว อะไรๆ เปลี่ยนไป!??.
รวบรัดตัดตอน เป็นว่านักเรียนชั้น ป.5 ของโรงเรียนบ้านมะรือโบตก ป๊การศึกษา 2510 หนึ่งห้องมีนักเรียน 20 กว่าคน เป็นนักเรียนไทยพุทธ 5 คน คือ หลานครู 1 คน น้องครู 1 คน ลูกนายสถานีรถไฟ มะรือโบ 1 คน ลูกสาวเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟ 1 คน ปัจจุบันนี้ เธอเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ โรงเรียนบ้านมะรือโบตกนั่นแหละ และลูกชาวบ้านที่ขายของอยู่บริเวณชานชาลา สถานีรถไฟอีก 1 คน
นอกเหนือจากนี้ เป็นนักเรียนไทยมุสลิมทั้งหมด หลายคนจบ ป.4 ไปแล้ว 1-2 ปี นักรึยนผู้หญิง บางคนมีลูก 1 คนบ้าง.. 2 คนบ้าง นักเรียนผู้ชายหลายคนมีครอบครัวแล้ว ทุกคนใช้ภาษายาวี สำเนียงท้องถิ่น พูดคุย สนทนากันเป็นปกติ ยกเว้น หลานครู กับน้องครู ที่หูไม่กระดิก อย่าว่าภาษายาวี เลย ขนาดภาษาไทยกลาง เรายังพูด ท้องแดง เลย... ฮา ฮา ฮา..

แต่เพี่อนๆมุสลิม ก็ดีใจหาย พยายามสอนให้เราพูดทุกวัน วันล่ะคำ สองคำ คำง่ายๆ อย่างเช่น อามอ แปลว่า ฉัน, แดมอ แปลว่า เธอ, มาแกนาสิ-กินข้าว,ดือฮาอาปอ-กับอะไร ดูวิ-เงิน, แกตอ-รถไฟ,นิก๊ะ-แต่งงาน,สุหนัต-พิธีขลิบปลายอวัยวะเพศเด็กผู้ชาย
หรือ ซอ-ดูวอ-ตีกอ-ปะ-ลีมอ-แน-ตูโย๊ะ-ลาแป-สิมิแล-สะปูโล๊ะ แปลว่า 1-2-3-4-5-6-7-8-9-10 บางคำ สำเนียง จะแตกต่างจากภาษายาวี สำเนียงกลางที่ใช้พูดกันในประเทศมาเลเซีย อย่างเช่น มากันนาสิ เป็น มาแกนาสิ, ซาตู เป็น ซอ ประมาณนี้.
แต่ที่แสบสันต์มากๆ อีตรงที่เพื่อนผู้ชาย มันสอนผมให้ไปพูดกับเพื่อนผู้หญิงว่าเธอสวยมากนี่สิที่ทำให้ผมจำประโยคนั้นจนวันตาย
มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากที่เพือ่นชายมุสลิมสอนให้ผมพูดและซักซ้อมจนมั่นใจดีแล้ว พวกนั้นก็ยุให้ผมไปพูดกับเพื่อนผู้หญิงมุสลิมคนนั้น ไอ้ผมก็พาซื่อไม่ร้องรำทำเพลง เดินเข้าไปหาผู้หญิงที่สวย ที่สุดในห้อง (สาวแขกผิวขาวปากแดงแก้มแดงครับทั่น) ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เพราะซ้อมมาอย่างดี
หลังจากที่ผมพูดจบด้วยความภาคภูมิใจ ผลปรากฏว่า..เธอไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ตบผมเปรี้ยง!. ทันทีเลยครับท่านผู้ชม!.. (เธอผู้นั้น ปัจจุบันนี้เป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านนิบง อยู่ในกลุ่มโรงเรียนมะรือโบตก ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ ผมได้โทรไปขออนุญาต พาดพิงถึงเธอด้วย เธอไม่ว่าอะไร ยังคงใจดีเหมือนเดิมและที่สำคัญ เธอยังไม่นิก๊ะ ฮ้า.. )
ถึงใหนแล้วล่ะ? อ้อ.. ผมเพิ่งมารู้ทีหลัง จากเพื่อนผู้หญิงที่มีลูก 2 คน เธอบอกผมว่าประโยคนั้น มันแปลว่า ฉันขอร่วมรักกับเธอได้ไหม อัลลอฮ์...แค่ถูกตบน่ะมันยังน้อยไปครับท่านผู้ชม..
แต่..เรา ผมหมายถึง หลานครูกับน้องครู ซึ่งมาจากต่างถิ่น ก็ได้รับการยอมรับใว้ในสังคมของพวกเขา โดยไม่มีเงื่อนไขของความแตกต่างทางศาสนา ศักดิ์ ฐานะ เข้ามาขวางกั้น หรือเป็นตัวแปรใดๆทั้งสิ้น เราเรียนด้วยกัน เราเล่นด้วยกัน เรากินด้วยกัน ไปสุเหร่าละหมาดด้วยกัน เราไปเที่ยวไหนต่อไหน ด้วยกัน วันโรงเรียนปิด เพื่อนมุสลิมมานอนกับผมที่บ้านพักครูบ้างหรือไม่พวกเขาก็พาผมไปกิน ไปนอน อยู่บ้านเขาประดุจญาติพี่น้องก็ไม่ปาน
ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่เกิดขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2511 ยังประทับตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผม เสมือนเหตุการณ์ ต่างๆเหล่านั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ผมไปมะรือโบตก ครั้งล่าสุดประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว ตอนนั้น อายังไม่ปลดเกษียณและน้องชายผม เป็น ผอ.อยู่ที่ โรงเรียนตากใบ (สำหรับรายนี้ แม่ผมร้องไห้ ทุกที่พอมีข่าวว่าเขายิงกันบ้าง เขาระเบิดกันบ้าง สงสารแม่แต่ไม่รู้จะทำยังไง) ตอนผมโทรไปคุยกับเพื่อนคนสวย ผมบอกเธอว่าอยากจะมาเที่ยวมะรือโบตก เพื่อพบปะเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูงเก่าๆ บ้าง เธอพูดห้ามผมเสียงหลง บอกว่าอย่ามา มาไม่ได้ ผมจะได้รับอันตราย เพราะผมเป็นคนแปลกหน้าไปเสียแล้วสำหรับที่มะรือโบตก
ผมถามเธอว่าทำไม? มันเกิดอะไรขึ้น? ในเมื่อผมเคยอยู่ที่นั่น ผมเติบโตจากที่นั่น ผมมีเพื่อนฝูงมากมายที่นั่น..ทำไม? ผมจะไปไม่ได้? เธอไม่สามารถตอบคำถามผมได้!?..
ตอบผมไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น? เธอบอกเพียงว่าหลายสิ่ง หลายอย่างเปลี่ยนไป,เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว โอ....อัลลอฮ์ โปรดเมตตาด้วยเถิด....?????????
โดย..ชำนาญ ณ.อันดามัน