สืบเนื่องจากถูกพาส่งโรงพยาบาลกลางดึกประมาณตี
2 ของคืนวันที่ 4 เมษายน 61 ด้วยสภาวะหายใจไม่เต็มปอดและจุกเสียดในบริเวณหัวใจ โดยหมอตรวจพบว่าหัวใจมีลิ่มเลือดอุดตัน
เพราะมีไขมันในเลือดสูงถึง800 และน้ำตาลในเลือดสูงถึง361 หมอบ่นว่าไม่น่ารอดมาได้
หลังจากการให้กินยา
ฉีดยาและนอนดูอาการที่โรงพยาบาล จนเป็นที่พอใจของหมอ(แต่ไม่เป็นที่พอใจของพยาบาลมากนัก)
หมอจึงให้กลับบ้านได้และนัดให้มาตรวจเลือดอีกครั้งในวันที่ 18 เดือนเดียวกัน
ข้าพเจ้างดน้ำ
งดอาหารตั้งแต่ก่อนสี่ทุ่มของคืนวันที่17 ปฏิบัติตัวตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด
เช้าวันที่ 18 เมษายน 2561 ข้าพเจ้าขับรถไปถึงโรงพยาบาล
6 โมงเช้า วนเวียนหาที่จอดรถโดยไม่ได้รีบร้อน เพราะในใบนัดระบุเวลานัดไว้ที่ 07.00
น. การไปถึงหกโมงเช้ามีความรู้สึกเหมือนเด็กนักเรียนเพิ่งเปิดเทอมใหม่
ข้าพเจ้าเดินดูความสับสนวุ่นวายของผู้คนที่มายังสถานที่นี้มากมาย
เหมือนกับการไปห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆก็มิปาน กระทั่งเมื่อข้าพเจ้าเดินไปถึงจุดที่มีการเจาะเลือด
ซึ่งอยู่บริเวณริมรั้วด้านหน้าของโรงพยาบาล รู้สึกตกใจที่เห็นมีคนจำนวนมาก ทั้งนั่งบ้าง
ยืนบ้าง นั่งบนรถเข็นบ้างและนอนบนเตียงคนป่วยบ้างที่บริเวณจุดเจาะเลือดไม่ต่ำกว่า
200 คน มีคำถามเกิดขึ้นในใจของข้าพเจ้าว่า พวกเขามากันตั้งแต่เวลาไหน?
ข้าพเจ้ารีบตาเหลือกไปยังที่จุดจับใบคิว
เพราะสังเกตุเห็นยังมีคนเดินตามหลังข้าพเจ้ามาอีกเป็นสิบ ข้าพเจ้ารีบจับบัตรคิว
ปรากฏว่าได้ลำดับที่ 196
“ตายโหง!..แล้วคิว1
เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่กันฟ่ะ?”..ข้าพเจ้าถามตัวเองโดยไม่ต้องการคำตอบ
ลำดับต่อไปก็เป็นการรอ ข้าพเจ้ายืนจนเมื่อย
เดินจนเมื่อย เพราะหาที่นั่งไม่ได้ กว่าจะมีที่นั่งได้ก็ต้องรอให้คิวแรกๆเขาถูกเรียกชื่อ
และดันเป็นที่ต้องนั่งตากแดดซะด้วย แต่ก็ยังดีกว่ายืนเมื่อย
ประมาณ 7 โมงเช้ากว่าๆ ได้ยินเสียงเรียกหมายเลข
196 ข้าพเจ้ารีบไปยื่นใบคิวและใบนัดของหมอให้เจ้าหน้าที่ตรงช่องที่กำหนด
เธอคีร์ข้อมูลใส่คอมพิวเตอร์ สักครู่เธอก็ให้หลอดแก้วเล็กๆที่มีชื่อของข้าพเจ้า 2 หลอดพร้อมกับกระปุกใส่ฉี่
เธอบอกให้ข้าพเจ้าไปเยี่ยวใส่กระปุกแล้วไปเข้าแถวรอเจาะเลือดอีกมุมของบริเวณนั้น เท่าที่มองเห็นหางแถวที่เขายืนตากแดดกันอยู่
เกือบจะออกไปบนถนนหน้าโรงพยาบาลทีเดียว
หลังจากที่ไปฉี่ใส่กระปุกแล้วเอามาวางไว้ในตะกร้าซึ่งจัดไว้อีกมุม
ข้าพเจ้าจึงได้ไปต่อท้ายแถวเพื่อเจาะเลือด
นับจากหัวแถว ข้าพเจ้าอยู่เป็นคนที่ 11 เวลานั้นข้าพเจ้ารู้สึกโหวงเหวงบ้างแล้วเพราะความหิวและตากแดดเป็นเวลานานพอสมควร
เก้าโมงเช้านิดหน่อย ข้าพเจ้าเจาะเลือดเสร็จก็รีบไปยังคลินิกโรคเบาหวานซึ่งอยู่อีกตึกหนึ่งห่างออกไปเดินพอได้หอบเล็กๆ
เมื่อไปถึงหน้าห้องที่เขียนว่า 360 ข้าพเจ้าด้อมๆ มองๆ เข้าไปในห้องก็เห็นคนหนุ่ม
คนแก่ ผู้หญิง ผู้ชาย ประมาณสัก 20 กว่าคน แต่ละคนนั่งกันเงียบเชียบเหมือนไม่ได้หายใจ
ทุกคนหน้าตาซีดๆ เซียวๆ ไร้ชีวิตชีวา แข็งๆ ทื่อๆ เหมือนกับคนในหนังฝรั่งอะไรซักเรื่องหนึ่งที่นางเอกรบกับผีดิบตลอดทั้งเรื่อง
ข้าพเจ้าเห็นบรรยากาศในห้องนั้นแล้วมีความรู้สึกอยากจะกลับบ้านทันที
แต่มันเป็นไปไม่ได้ จึงจำต้องมองหาโต๊ะที่น่าจะเป็นจุดแรกของการรายงานตัว...และแล้วข้าพเจ้าก็เห็นโต๊ะหมายเลข1
ซึ่งเขียนว่า “ผู้ป่วยตามนัด” หลังโต๊ะนั้น นั่งไว้ด้วยอิสตรีสาวสวยสะคราญ แต่สีหน้าและแววตาของแม่นางเย็นยะเยียบประดุจบัวหิมะพันปีก็มิปาน
ครั้นเมื่อแม่นางมองมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ
หากทว่าสำนึกที่ข้าพเจ้ามายังสถานที่นี้ก็เพื่อต้องการรักษาอาการไฟธาตุแตก
ซึ่งข้าพเจ้าได้ผ่านการตายมาครั้งหนึ่งแล้ว
ข้าพเจ้าจึงมิได้หวั่นไหวต่อรังสีอำมหิตของแม่นางสักเท่าใด
ข้าพเจ้าค่อยๆจรดฝีเท้าเข้าไปหาแม่นางอย่างแผ่วเบาและยื่นส่งแฟ้มให้อย่างสำรวม
หลังจากที่แม่นางรับแฟ้มประวัติของข้าพเจ้าและตรวจสอบกับคอมพิวเตอร์เสร็จสิ้น
จึงได้ชี้แนะให้ข้าพเจ้านำแฟ้มไปให้โต๊ะถัดไปและบอกให้ข้าพเจ้านั่งรอเรียกชื่อโดยได้บัตรคิวที่90
10นาทีผ่านไป..20นาทีผ่านไป ได้ยินแต่เสียงเรียกชื่อคนอื่น
ข้าพเจ้าเริ่มตาลายเพราะความหิว
ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะต้องออกจากที่นั่งรอเรียกชื่อนี้
เพื่อไปหาชื้ออะไรใส่ท้องก่อนจะเป็นลมตาย
ไปกลับไม่เกิน 10 นาที
จากร้านสหกรณ์ภายในโรงพยาบาล ข้าพเจ้าได้ขนมปังจืดหนึ่งห่อ
นมถั่วเหลืองหนึ่งกล่องและน้ำดื่มหนึ่งขวด
กลับมายังที่เดิมและจัดการทุกอย่างด้วยความหิวโหย
ประมาณ 10 โมงกว่าๆ ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อคุณชำนาญ
ข้าพเจ้ารีบลุกยืนอย่างเร็วโดยไม่รอให้มีเสียงเรียกเป็นครั้งที่สองและรีบไปยังโต๊ะที่เรียกชื่อ
หลังจากถูกซักถามเรื่องอาการต่างๆ
ด้วยคำถามตามสูตรสำเร็จรูปแบบเดิมๆ เสร็จเรียบร้อย เธอบอกให้ข้าพเจ้าไปยังศูนย์ตรวจเบาหวานตา
อธิบายเส้นทางการไป พร้อมทั้งส่งใบกำกับให้กับข้าพเจ้านำไปยื่นให้ที่โน่น
ข้าพเจ้าไปถึงศูนย์ตรวจตา ซึ่งอยู่บนชั้นที่3
ของอีกตึกถัดไป เห็นมีคนป่วยเรื่องตานั่งรอคิวอยู่จนล้นเก้าอี้ที่จัดไว้
ข้าพเจ้านำใบขอนัดตรวจไปยื่นให้ที่เคาเตอร์และไปยืนรอ เพราะไม่มีที่นั่ง
ประมาณครึ่งชั่วโมง
จึงได้ถูกเรียกชื่อให้เข้าไปรับใบนัดให้มาตรวจตา อีก 2 เดือนหลังจากนี้
ข้าพเจ้ากลับมายังศูนย์ 360 องศาอีกครั้ง
พร้อมกับใบนัดตรวจตา
จากนั้นพยาบาลก็บอกให้ข้าพเจ้าไปอีกโต๊ะเพื่อตรวจอาการชาบนฝ่าเท้า
ทีนี้จึงต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า เพื่อให้พยาบาลเอาปากกามาจิ้มตามจุดต่างๆบนฝ่าตีนของข้าพเจ้าแล้วถามว่า
รู้สึกอะไรหรือไม่?อย่างไร? ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่ารู้สึกจั๊กจี้ดี
เธอมองหน้าข้าพเจ้าลอดมาจากผ้าอนามัยปิดจมูก
ข้าพเจ้าจึงไม่รู้ว่าเธอยิ้มหรือไม่ยิ้มหรือทำปากขมุบขมิบ แต่ในแววตาของเธอ
ข้าพเจ้าเดาๆเอา น่าจะมีความหมายว่า “ไอ้แก่ทะลึ่ง!”
ต่อจากนั้น เธอก็ชี้ให้ข้าพเจ้าไปยังโต๊ะที่มีคุณหมอสาวและสวยมากๆ
ข้าพเจ้าหอบรองเท้า ถุงเท้า ร่องแร่งไปนั่งให้คุณหมอถามโน่น นี่ นั่น
ตามสูตรสำเร็จแล้วบอกว่าน้ำตาลในเลือดของข้าพเจ้าลดลงเหลือ 198
พร้อมทั้งพูดยกยอว่าลดได้ดี
หลังจากนั้นคุณหมอก็อบรมเรื่องอาหารการกิน เช่นห้ามกินเผ็ดจัด
เค็มจัด เปรี้ยวจัด หวานไม่ต้องพูดถึงห้ามเด็ดขาด กาแฟกินได้ แต่ต้องไม่มีค๊อฟฟี่เมทและน้ำตาล
ส่วนของหมัก ของดอง ของทอด เช่นหมูสามชั้นคั่วเกลืองี้ ต้มขาหมูงี้ ไส้หมูพะโล้งี้
คอเป็ดพะโล้งี้ ไก่ทอดสูตรหาดใหญ่งี้ ซึ่งเป็นของโปรดทั้งนั้น ห้ามกินโดยเด็ดขาดแม้กระทั่งข้าวสวยก็ห้ามกินมาก
ผลไม้ก็กินได้เฉพาะที่มีราคาแพงเท่านั้นเช่น แอ็ปเปิ้ล
แก้วมังกรและกล้วยหอม(ไม่ได้ยินเรื่องห้ามกินเหล้าและเบียร์)
โอ้ยยยย แล้วนายชำมะเท่ง
กินอะไรได้มั่งละครับคุณหมอ?
ปลาเท่านั้น ปลา ปลา ปลา ๆ ๆ ๆ ๆ เข้าใจมั๊ย?!
หลังจากนั้นก็เป็นการอบรมเรื่องการประพฤติปฏิบัติตัวของข้าพเจ้าเช่น
กินยาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด ออกกำลังกายพอสมควร พักผ่อนให้เพียงพอ
อย่าเครียด..แต่คุณหมอครับทุกอย่างที่คุณหมอบอกมานั้น
มันตรงกันข้ามกับการใช้ชีวิตประจำวันของนายชำมะเท่ง แบบฟ้ากับดินจริงๆ..ข้าพเจ้าได้แค่คิดในใจ
หลังจากจบหลักสูตรการอบรม คุณหมอได้นัดให้ข้าพเจ้ามาพบครั้งต่อไปอีก
3 เดือนหลังจากวันนี้
พร้อมทั้งเขียนใบสั่งยาให้ข้าพเจ้านำไปยังห้องจ่ายยา
เสร็จสรรพจากตรงนั้น เหลือเวลาอีกประมาณ 15
นาทีจะเที่ยงวัน ข้าพเจ้ารีบตรงไปยังห้องจ่ายยา เพื่อว่าอาจจะได้รับก่อนพักเที่ยง
ไม่ผิดหวัง
ข้าพเจ้าได้รับยาเรียบร้อยเมื่อเวลาเที่ยงพอดี แต่มันมีจำนวนมาก จนน่าจะเอาไปกินแทนข้าวได้ทุกมื้อ