วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รำลึกอดีตเมื่อปี25 กับ แอ๊ด คาราบาว



แอ็ด คาราบาว กับ ชำนาญ เดอะเม้าท์เท่น
----------------------------------------------

ช่วงนี้ ชำนาญ ณ.อันดามัน งานเข้าจริงๆ ต้องขออนุญาตท่านผู้ชม เบรค “เรื่องไปสตูลตอน 2” เอาไว้ก่อนครับ ขอลัดคิวเล่าเรื่องนี้ก่อน (เพราะเขาให้ตังค์มาแล้ว ฮ้า ฮ้า) เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น เฮ้ย..เฮ้ย พูดเล่นแต่เรื่องจริง เฮ้ย..เฮ้ย กินเบียร์ช้างกับ แอ๊ด มาป๋องเดียวเอง.! เขียนผิด เขียนไม่ถูก

เข้าเรื่อง วันนี้ 14 ก.ค.53 ชำนาญ ณ.อันดามัน ได้รับเชิญ ทางอี-เมล์ จากกรุงเทพฯ (ธรรมดาซ่ะที่ไหน) ก่อนหน้านี้ 2 วัน ให้ไปสังเกตการณ์(เขียนให้มันหรูเข้าไว้) การโปรโมตหนังเรื่อง
 “ สมานฉันColor’s Love"

สร้างโดย บริษัท "เอกเพชร ฟิล์ม
อำนวยการสร้างโดย รัฐไกร เอกเพชร
กำกับการแสดงโดย ผศ.ดร.ชวนะ มหิทธิชาติกุล ภวกานนท์
นำแสดงโดย จิ๊บ ปกฉัตร และ เทียนชัย ตูนAF3”


พระ, นาง, ผู้สร้าง, แอ็ด
---------------------------------------


สัมภาษณ์ พระเอก
-----------------------------------------

โดยมีวง “คาราบาว” มาเล่นคอนเสิร์ต ให้ดูฟรี ที่ ห้างโฮมเวิร์ค ภูเก็ต ซึ่งก็มีดารา พระเอก นางเอก ผู้สร้าง ผู้กำกับฯลฯและทั้งหลายทั้งปวง ที่เขาเรียกกันว่า “ทีมงาน” นั่นแหละ ซึ่งเยอะแยะมากมาย ทั้งตัวจริง ตัวปลอม อีแอบ ก็แล้วแต่จะเรียก เห็นแล้วเวียนหัวจริงๆ

ผมไปถึงหน้างานตั้งแต่ 5 โมงเย็น (ด้วยความตื่นเต้น) แต่ยังไม่ได้เข้าไปในงาน หลบๆ นั่งกินกาแฟ ตากแอร์ เย็นๆสังเกตการณ์ อยู่ในห้าง เพื่อรอพรรคพวกจากทีวีช่องหลัก(ซึ่งผมเป็นผู้ประสานงานตั้งแต่ต้น แน่ะว่าจะไม่บอกแล้วเชียว) จะได้เข้าไปพร้อมกัน

ผมไปถึง ยังไม่มีใครมาเลย
--------------------------------

จนกระทั่งเริ่มมีคนมาบ้างแล้ว
--------------------------------------------
จนกระทั่งเกือบทุ่ม จึงได้พร้อมหน้า พร้อมตากัน แล้วก็ชวนกันเข้าไปในงานแล้วต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ เก็บภาพต่างๆ เพื่อได้นำไปเสนอเป็นข่าว

บรรยากาศหน้าวิก พอเริ่มมืด
--------------------------------------

เมื่อเข้าประตูวิกไป บรรยากาศเริ่มครึกครื้น คึกคัก
---------------------------------------------

ส่วนผม ก็เก็บภาพไปตามปกติเหมือนคนอื่นๆ จนกระทั่งได้ จังหวะ แอ็ด คาราบาว นั่งอยู่คนเดียว ผมจึงได้เข้าไปทักทาย

แอ็ด กับ พระเอกหนัง
-------------------------------------

แอ็ด คาราบาว ก็ทักทายผมในฐานะผมเป็นผู้สื่อข่าว เหมือนผู้สื่อข่าวคนอื่นๆ

แต่ที่มันไม่เหมือนตรงที่ผมรำลึกให้เขาฟังว่า ผมเป็นหัวหน้าวง THE MOUNTEN ที่เคยเล่นก่อนเวลา ให้กับวง “คาราบาว” เมื่อครั้งไป ทัวร์คอนเสิร์ท ที่นครศรีธรรมราช เมื่อปี 2525 โน่นและท้าวความต่อว่าตอนนั้น (หมู) พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ยังไม่ดัง ยังตามเป็นนักร้องแจมอยู่กับ “คาราบาว” เลย เขานิ่งคิดนิดหนึ่งจึงถึงบางอ้อ

แล้วพูดขึ้นว่า “อ้อ..ใช่ ตอนนั้นเพิ่งตั้งวงใหม่ๆ นานมากแล้วน่ะ” “ตอนนั้นยังผอมนี่” แอ็ด พูดถึงผม
แล้วก็รำลึกถึงคอนเสิร์ตวันนั้นกันได้นิดเดียว เพราะมีคนมาขอลายเซ็นและขอถ่ายรูปมากมาย(ไม่ใช่กับผมน่ะ ฮิฮิ) เราจึงจำใจต้องหยุดการรำลึกถึงเรื่องเก่าๆและได้ถ่ายรูปใว้เป็นที่ระลึกหนึ่งรูปก่อน
"แอ็ด คาราบาว" เดินขึ้นเวที


รำลึกความหลังกับผมเสร็จก็ขึ้นเวที่
-------------------------------------
แอบดูหลังเวที "คาราบาว"

ทีมงาน "คาราบาว" น่ะนี่ ลูกพี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
-------------------------------------------------

ใครน่ะ คุ้น คุ้น เหมือนเคยเห็นที่ไหน
-------------------------------------------
ดูบรรยากาศ บนเวทีบางช่วง บางตอน

เพลงแรกของคืนนี้
------------------------------------

แล้วเพลงที่สองก็ตามมา
------------------------------------------

เพลงที่ 3 เพลงที่ 4 ท่านผู้ชม (ฟรี) ก็เริ่มหนาแน่น
--------------------------------------------

ดูคลิป วีดีโอ คอนเสิร์ท บางตอน



ถ่ายทำและตัดต่อภาพโดยชำนาญ ณ.อันดามัน
"ขออภัยถ้าดูแล้วไม่ได้อรรถรส"
------------------------------------

แล้วผมก็ออกจากงานมา เมื่อเวลาประมาณ เกือบ 3 ทุ่ม วัยรุ่นเริ่มทะยอยเข้ามามาก ผมกลัวโดนลูกหลง

--------------------------------------------

พื้นที่แสดงความคิดเห็น


(กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ ขอบคุณ)
--------------------------------------------

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไปสตูล คารวะท่านผู้ว่าฯ สุเมธ ชัยเลิศวนิชกุล




ผู้สื่อข่าว"พลังชน"สตูล,ผู้ว่าฯสุเมธ,ผู้เขียน

กล้องของตัวเองตอนถ่ายให้คนอื่นดูดีหมด แต่พอให้คนอื่นถ่ายให้ตัวเองกลับดูไม่ได้

-----------------------------------------------
เมื่อ วันที่ 6 ก.ค.53 ที่ผ่านมา ชำนาญ ณ.อันดามัน ในฐานะ หัวหน้าศูนย์ข่าวภาคใต้ ของหนังสือพิมพ์ “พลังชน” ต้องชีพจรลงเท้าเดินทางไปจังหวัดสตูล เพื่อแต่งตั้งผู้สื่อข่าว ประจำจังหวัดสตูล พร้อมกับได้รับมอบหมาย จาก บก.สุรินทร์ พิทักษ์ภากร ถือโอกาสให้ผมเป็นตัวแทนเข้าเยี่ยมคารวะท่านผู้ว่าฯ จ.สตูล นายสุเมธ ชัยเลิศวนิชกุล ด้วย ในฐานะที่ท่านเคยรู้จักกันมา

ผมทำการติดต่อประสานงานกับประชาสัมพันธุ์จังหวัดและหน้าห้องท่านผู้ว่าฯ ให้ช่วยนัดหมาย จัดตารางเวลาให้ผมด้วย ซึ่งก็ได้ตารางเวลาเข้าพบตอนบ่าย 2 โมงของวันที่ 7 ก.ค.

วันที่ 6 ก.ค. ผมขับรถออกจากภูเก็ต ประมาณ 9 โมงเช้าเศษ แวะกินข้าวเที่ยงกับผู้สื่อข่าว“พลังชน” ประจำจังหวัดกระบี่ ที่แถวตลาดเก่ากระบี่ซึ่งเป็นทางผ่านของผม จนเที่ยงเศษ จึงออกเดินทางต่อ

วันนี้อากาศดีมาก แดดจ้าตั้งแต่เช้า ไม่มีเค้าของฝนที่เคยตกหนักมาหลายวันก่อนหน้านี้ ผมใช้เส้นทางถนนเพชรเกษม(สาย4) ผ่าน อ.เหนือคลอง อ.คลองท่อม ผ่านทางแยกเข้าท่าเรือไปเกาะลันตา แล้วเลี้ยวขวา(ขออภัยหมายเลขจำไม่ได้แล้ว)เข้าไปทางสาย อ.สิเกา จ.ตรัง ที่มีหาด ปากเม็ง,หาดยาว,หาดเจ้าไหม ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดตรัง

เมื่อถึงสี่แยกอันดามัน ก่อนเข้าตัวเมืองตรัง เลี้ยวขวาเข้าถนนบายพาส ขับผ่านสี่แยกบายพาส ตรัง- อ.กันตัง (ที่ผมเพิ่งไปมาเมื่อเดือนก่อนแต่ยังไม่ได้เขียนเล่าให้อ่าน) จนถึงสี่แยกบายพาส ตรัง-สตูล(สาย416) ระยะทาง 140 กิโลเมตร

ผมเลี้ยวขวาเข้าสายนั้น ผ่าน อ.ย่านตาขาว - กิ่ง อ.หาดสำราญ ซึ่งผมมีเพื่อนเก่าแก่เป็นกำนันตลอดชีพอยู่ที่นั่นเคยไปเยี่ยมเยียนเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว เมาหัวทิ่มกลับภูเก็ต เที่ยวนี้ไม่อยากแวะกลัวเสียงาน ฮิ ฮิ ผ่าน อ.ปะเหลียน ที่เป็นบ้านเกิดของนักร้องเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง ป๋อง ณ.ปะเหลียน

ผมขับรถด้วยความเร็ว ไม่เกิน 100/ชั่วโมง จนเข้าเขต อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล ถนนช่วงนี้ ส่วนใหญ่ ยังเป็น สองเลนแคบๆ มีโค้งตลอด ขับรถยากมาก ทำเวลาไม่ได้ มีหลายช่วง หลายตอน ที่กำลังขยายเป็นสี่เลน แต่ก็เป็นระยะทางสั้นๆ ไม่กี่กิโลเมตร ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเทศบาล

จาก อ.ปะเหลียน ถึงสามแยก อ.ละงู ที่มีถนนตรงไป ท่าเรือปากบารา ท่าเทียบเรือท่องเที่ยว ที่เป็นท่าเรือหลัก (ตอนนี้กำลังมีปัญหากันอยู่เกี่ยวกับการสร้างท่าเรืออุตสาหกรรม ชาวบ้านประท้วงกันอยู่เย้วๆ) เพื่อนำนักท่องเที่ยวไป เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดังราวี และเกาะหลีเป๊ะ ที่มีชื่อเสียง ในทะเลอันดามัน เขต จ.สตูล ซึ่งขณะนี้ กำลังบูม อย่างมาก จนทำให้ วงการท่องเที่ยวภูเก็ต กำลังวิตกกังวลว่า อีกไม่นาน ภูเก็ตเฉาตายแน่ๆ สมน้ำหน้าอยากไม่ช่วยกันรักษาธรรมชาติเอาไว้ ปล่อยให้นายทุน บุกรุกทำลาย เอาที่ดินมาสร้างบ้านขายฝรั่งจนหมด แม้แต่ลิงยังต้องมาอยู่ข้างถนน

ผมเลี้ยวซ้าย มุงตรงไป อ.ท่าแพ ผ่านทางแยก ที่จะไป ถ้ำภูผาเพชร แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอีกแห่งของ จ.สตูล

จนกระทั่ง ถึงสามแยก ฉลุง ที่ถนนสาย 406 ถ้าเลี้ยวซ้ายไป อ.หาดใหญ่ เลี้ยวขวาเข้าตัวเมืองสตูล ขณะนั้น ประมาณ บ่าย 4 โมงเศษ

จากตรัง ถึงสตูล ระยะทาง 140 กิโลเมตร ผมขับรถโดยไม่จอดแม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ ใช้เวลา กว่า 2 ชั่วโมง

เหลือเวลา อีกนานกว่าจะมืด ผมยังไม่เข้าตัวเมือง แต่ตัดสินใจจะไป ที่ “บ้านวังประจัน” อันเป็นด่านชายแดน ระหว่างจ.สตูลกับรัฐเปอร์ลิสประเทศมาเลเซีย (ขณะนี้กำลังมีโครงการร่วมเจาะอุโมงค์ลอดภูเขา ฟังว่าทางมาเลย์ฯสร้างถนนมาถึงภูเขาแล้ว แต่พี่ไทยยังไม่รู้จะเอายังไงที เอ้า ประท้วงกันเข้าไป) ซึ่งในชีวิต ผมยังไม่เคยไป

ผมเลี้ยวขวาจากถนนสาย สตูล-หาดใหญ่เข้าไป 20 กว่ากิโลเมตร เป็นถนนชนบท ผ่านหมู่บ้านที่ผมเข้าใจว่าเป็นคนอิสลามล้วนๆ ผ่านอุทยานแห่งชาติ “ทะเลบัน” (ตั้งใจว่าจะแวะตอนขากลับถ้าไม่มืดเสียก่อน) สองข้างทางเป็นสวนยางพารา สวนผลไม้ ผ่านหุบเขาสูง ก่อนจะถึงด่านชายแดน ผ่านด่านตรวจร่วมทหารกับตำรวจตระเวนชายแดน ที่มีทหารเด็กๆ หน้าตาซึมมะลือทือ (ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นทหารเกณฑ์) นั่งกอดปืนแบบเซ็งๆ อยู่ 2-3 คน(อยากถ่ายรูปเหมือนกันแต่ไม่กล้าเสี่ยง) เขามองผมขับรถผ่านด่านโดยไม่ได้สนใจมากนัก ผมคิดว่าคงจะยังไม่ถึงเวลาตรวจของพวกเขา หรือไม่ก็คิดว่าตรวจไปก็แค่นั้น รถขนของเถื่อน เขายังไม่อยากจะตรวจเลย เพราะตรวจเจอของเถื่อนจับแล้วก็ต้องปล่อย

เมื่อผมไปถึง หน้าด่าน ตม.ชายแดน “วังประจัน” รู้สึกเงียบเหงาดีจริงๆ  ร้านขายของต่างๆที่หน้าด่าน กำลังเก็บปิดร้านพอดี



ด่าน "วังประจัน" ชายแดนสตูล-เปอร์ลิส
----------------------------------------
ผมจอดรถ บริเวณหน้าด่านเสร็จ แล้วเดินเกร่ไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ตม.จนได้ข้อมูลมาว่า สามารถขับรถเข้าไปที่หน้าด่านทางฝั่งมาเลเซียได้ แต่เข้าไปถึงตัวเมืองไม่ได้ และจะต้องกลับออกมา ก่อนเวลา 5 โมงเย็น ซึ่งเวลาทางฝั่งมาเลเซียจะเร็วกว่าของเรา ครึ่งชั่วโมง และถ้าต้องการจะไปให้ถึงตัวเมืองรัฐเปอร์ลิส ก็ต้องมีพาสปอร์ตหรือต้องทำพาสปอร์ตชั่วคราว(ใบผ่านแดน) ที่ด่านนั่นแหละ สามารถอยู่ได้ถึง 7 วัน


ตลาดขายผลไม้และของอุปโภค บริโภค หน้าด่าน
---------------------------------------
ผมถามเจ้าหน้าที่ ตม.คนนั้น เกี่ยวกับจำพวกสินค้าและราคา ว่าทางฝั่งมาเลเซียแตกต่างจากฝั่งไทยอย่างไรบ้าง เขาบอกผมว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นของไปจากฝั่งไทยนี่แหละ และราคาก็แพงกว่าด้วย ถ้าจะเป็นของเขาจริงๆก็บุหรี่(ซึ่งส่วนใหญ่ปลอม)หรือจำพวกขนมขบเคี้ยวต่างๆ เท่านั้น (ผมฟังแล้วรู้สึกหดหู่กับที่เคยได้ยินนักท่องเที่ยวพี่ไทยเราชอบพูดว่าไปซื้อของฝั่งมาเลย์ฯ ได้ของดี ราคาถูก) จริงๆแล้วเป็นของพี่ไทยทั้งเพ ส่งไปขายให้พี่ไทยถ่อสังขารไปซื้อกลับมาบ้านในเมืองไทย กับราคาที่แพงกว่าในประเทศไทย ขอให้ประเทศไทยจงเจริญ....

ผมซอกแซกพูดคุยสอบถามข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ ตม.คนนั้นพอประมาณ กลัวเขารู้ว่าผมเป็นนักข่าว(อาจโดนกระทืบ) จึงปลีกตัวมาขึ้นรถขับออกมาเพื่อแวะถ่ายรูปที่ อุทยานฯ “ทะเลบัน” ก่อนเวลาจะมืดค่ำ


เวลา 5 โมงเย็นเก็บกันเงียบ แม่ค้าแถวนั้นบอกว่า คนจะมาก เสาร์ อาทิตย์
---------------------------------------------

ไม่เกิน 15 นาที ที่ในอุทยานฯ “ทะเลบัน” ผมได้รูปมัวๆ มา 2-3 รูป แล้วก็ขับรถออกมาผ่านด่านตรวจอีกครั้ง เห็นทหารเด็กคนนั้น ยังนั่งซึมกะทืออยู่ที่เดิม



ป้ายทางเข้าอุทยาน "ทะเลบัน"

ถนนที่มองเห็น ทางไปด่าน"วังประจัน"
-----------------------------------------


ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เงียบสงบดีแท้

---------------------------



นี่น่าจะเป็น จุดขาย ของที่นี่
------------------------------



มีเท่าที่เห็น นี่แหละ
------------------------------------

ผมมาถึงถนนสายสตูล-หาดใหญ่ อากาศครึ้มๆ ฝนตกปรอยๆ แต่ยังไม่มืด ผมทดลองโทรฯไปหาพรรคพวกที่อยู่ อ.ควนกาหลง ปรากฏว่าเขาอยู่บ้าน ผมจึงบอกเขาไปว่า ประเดี๋ยวจะแวะมาเยี่ยม เขาตอบกลับมาด้วยความตื่นเต้น

ผมใช้เวลาพอสมควร บนเส้นทางทุลักทุเลกับระยะทาง 30 กว่ากิโลเมตร ก็ถึงบ้านพรรคพวก(ที่ผมไม่เคยมา แต่ถามเส้นทางกันทางโทรศัพท์) ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ที่เหมาะสมกับชื่อ “ควนกาหลง” จริงๆ


***พจนานุกรมภาษาใต้***
---------------------------------------------------------------

ควน แปลว่า เนินเขาเตี้ยๆ,ภูเขาไม่สูงแต่มีป่าไม้รกทึบและกันดาร

กา แปลว่า นกชนิดหนึ่งมีขนสีดำ,บินได้,ชอบร้องกา กา

หลง แปลว่า หาทิศไม่เจอ,หาทางไม่พบ,ไปไม่ถูก

ควนกาหลง” จึงแปลโดยประมาณว่า “พื้นที่ที่มีเนินเขาเตี้ยๆแต่เป็นป่ารกทึบกันดารแม้แต่อีกาที่บินได้ก็ยังหลงฮ้า ฮ้า ปราชญ์ ชำนาญ ณ.อันดามัน ท่านทั้งหลายคงพอจะนึกภาพออกว่า สภาพภูมิประเทศและเส้นทางไป “ควนกาหลง” เป็นยังไง?

เมื่อเจอหน้ากัน คำแรกที่ผมทักเขา คือ “หัวหายดีแล้วหรือ?”

เขาหัวเราะ แล้วตอบว่า “หายตั้งนานแล้ว”

ท่านคงสงสัยว่า คนนานๆ เจอกัน ทำไมจึงทักทายกันแบบนั้น?

มันมีนิทานครับ ท่านผู้ชม! จะเล่าให้ฟัง

เรื่องมันมีอยู่ว่า...เมื่อเดือนสิบ(ตุลาคมปี 52) เราไปเจอกันที่บ้านพ่อผม นครศรีธรรมราชโน่น ซึ่งก็ตามธรรมเนียมสหายกัน นานๆเจอที ก็ต้องตั้งวงเสวนา พาที ถกปัญหา ตีความคัมภีร์วิทยายุทธกันตามประสา ชาวบู๊ลิ้ม จนเวลาล่วงเลยกระทั่งดึกดื่น สุราจับกรอกหมดไปหลายไห ทุกคนต่างก็หู ตา พร่าเลือน กำลังภายในเริ่มอ่อนล้า

ณ เวลานั้นตัวผมเองก็ควบคุมลมปราณไม่ได้ ไม่รู้อีท่าไหน ผมทำตู้ลำโพงที่แขวนอยู่ข้างเสาศาลาที่พวกเราสหายทั้งหลายนั่งเสวนากันอยู่ หล่นลงมาบนศีรษะของสหายคนนี้พอดี จนโลหิตกระจายไปทั่วบริเวณ

วงแตกครับ ท่านผู้ชม! พวกเราต่างลนลานรีบนำตัวเขาไปส่งยังสำนักแพทย์ รักษาเยียวยา ปรากฏว่า แพทย์ต้องทำการเย็บแผลที่ศีรษะของเขาถึงห้าเข็ม

นี่แหละครับ เป็นนิทานที่มาของคำทักทายว่า “หัวหายดีแล้วหรือ?” วีรกรรมของผมจริงๆ

ผมอยู่สนทนากับเขา(โดยไม่มีน้ำเมา) จนกระทั่ง 2 ทุ่ม จึงขอตัวกลับเข้าเมืองสตูล ทั้งที่เขาคะยั้นคะยอให้ค้างกับเขา ผมอ้างว่ามีนัดกับพรรคพวกที่ในเมือง(ความจริงผมกลัวเขาจะล้างแค้นตอนผมหลับ ฮิ ฮิ) เขาจึงยินยอมให้ผมจากมา

ผมกลับมาในตัวเมืองสตูล ขับรถตระเวนหาที่พักอยู่นาน เพราะหลงด้วย จนในที่สุดก็ได้ที่พักเป็นบังกะโล อยู่ใกล้ๆ ศาลากลางนั้นเอง

เช็คอินเสร็จ ออกมาหาข้าวกินที่ตลาดโต้รุ่ง จน 5 ทุ่มจึงได้กลับไปนอน


***ติดตามเรื่องราววันที่สองของผม ที่ จ.สตูลต่อไปครับ***
-----------------------------------------

พื้นที่แสดงความคิดเห็น


(กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ ขอบคุณ)
-----------------------------------------

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไปดู เรือตกปลา ที่ท่าเรือทับละมุ จ.พังงา



เมื่อประมาณเที่ยงวัน ของวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา พรรคพวกของผมซึ่งเป็นเจ้าของเรือตกปลาลำใหม่ ได้ชวนผมตะลุยสายฝนไปดูเรือของเขา ที่ท่าเทียบเรือประมง "บ้านทับละมุ" ซึ่งอยู่ติดกับฐานทัพเรือกองเรือภาคที่3 และบริเวณเดียวกันกับท่าเทียบเรือท่องเที่ยว ที่นำนักท่องเที่ยวไปหมู่ "เกาะสิมิลัน" ในช่วงฤดูการท่องเที่ยว โดยใช้ถนนสาย4 (เพชรเกษม) ทางไปหาดเขาหลัก จ.พังงา

เรือของพรรคพวกลำนี้ ไม่ใช่เรือใหม่ เป็นเรือประมงเก่า ซื้อมาปรับปรุง ตกแต่งใหม่ให้เป็นเรือตกปลาและวางแผนจะทำเป็นเรือทัวร์ตกปลา ในอนาคตด้วย

เรือลำนี้ ออกจากภูเก็ต เมื่อ 8 วันที่ผ่านมากับจำนวนคน 9 คน(มีอายุตั้งแต่ 20ขึ้น จนถึง 50ขึ้น) แล่นฝ่าพายุ คลื่น ลม หน้ามรสุมของทะเลอันดามัน ที่ทวีกำลังรุนแรงขึ้นทุกวัน มุ่งไปตกปลาที่บริเวณหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งเป็นเที่ยวแรก ของการออกไปตกปลาของเรือลำนี้ หลังจากที่ได้รับการปรับปรุงและซ่อมแซมเสร็จแล้ว เป็นการทดลองเรือและทดลองสมรรถนะของเครื่องยนต์ ไปในตัว

ความจริง กัปตันเรือและพรรคพวกที่ไปตกปลาชวนผมไปด้วย แต่ผมติดภาระกับเรื่องหมอนัดตรวจตาที่เพิ่งผ่าตัดมา ก็เลยไปไม่ได้ ถ้าไปได้คงจะได้เก็บภาพสวยๆ และคลิปวีดีโอ มันส์ๆ ตอนเย่อปลาตัวโตๆ มาฝากท่านผู้ชม คิดว่าเที่ยวหน้าคงจะได้ไปตะลุยกับเขาด้วยแน่ๆ

เมื่อเราไปถึงท่าเทียบเรือประมงที่ทับละมุนั้น ฝนยังตกตลอดเวลา ตอนนั้นเรือได้เข้ามาจอดทิ้งสมออยู่ในแม่น้ำก่อนแล้ว




พรรคพวกผมที่เป็นเจ้าของเรือ ได้รีบติดต่อขอเทียบท่ากับเจ้าหน้าที่ของท่าเรือเสร็จเรียบร้อย แล้วจึงได้โทรศัพท์ ให้กัปตัน(ไต๋เรือ) นำเรือเข้ามาจอดเทียบท่า หลังจากนั้นในเวลาไม่นาน


-----------------


เมื่อเรือเทียบท่าเสร็จสรรพเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนจึงได้ทักทาย สนทนาพูดคุยกัน เรื่องพูดคุยส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ ของการแล่นเรือ การตกปลา สภาพคลื่นลมในทะเลและปลาที่ติดเบ็ดแล้วหลุดไป เอาขึ้นเรือไม่ได้ (ซึ่งเป็นปลาตัวใหญ่เสมอและของทุกคนด้วย ฮ้า ฮ้า )

ฟัง ฟังแล้ว พอสรุปได้ว่า การออกไป 8 วันนั้น ได้ตกปลาจริงๆ แค่ 4วัน ที่เหลืออีก 4วัน 4คืนนั้น มัวรบอยู่กับ พายุ ฝน คลื่น ลม ตลอดเวลาและมีวัยรุ่น 3 คน ในจำนวน 9 คนนั้น เมาคลื่นตลอดเวลาเหมือนกัน

จำนวนปลาที่ตกได้มา มีหลากหลายประเภท “ไต๋เรือ” คิดคร่าวๆ ว่ารวมน้ำหนักแล้วคงไม่เกิน 900 กิโลกรัม เป็นปลาที่มีน้ำหนักตั้งแต่ ไม่ถึง 1 กิโลกรัม จนถึงตัวที่มีน้ำหนักมากที่สุด 20 กิโลกรัม แต่เป็นปลาประเภทที่มีราคาดี ราคาขายส่งให้พ่อค้าคนกลางโดยเฉลี่ย ตกกิโลกรัมล่ะ 80บาท ถึง 160 บาท แต่เมื่อไปอยู่ในตลาดสด ราคาจะอยู่ที่ กิโลกรัมล่ะ 120 บาท ถึง 220 บาท

ตัวโตๆ อยู่ใต้น้ำแข็งลึกลงไป
-----------------------------

เห็นไหมครับ ท่านผู้ชม คิดจะค้าๆ ขายๆ เป็นพ่อค้าคนกลางดีที่สุด

เราอยู่ที่เรือจนได้กินข้าวมื้อค่ำท่ามกลางบรรยากาศที่มีทั้งลมและฝนกับปลาทอดกรอบ ต้มยำปลา แกงส้มปลาและปลาผัดฉ่า(อยู่บนเรือตกปลา ใครจะไปหาหมู หาไก่กิน ถือว่าไม่บ้าก็เมาแหงๆ) ซึ่งเป็นปลาชั้นดี ราคาแพงทั้งนั้น

ส่วน “ไต๋เรือ” และคนอื่นๆ ก็สรวลเสเฮฮา อยู่ที่ ท้ายเรือ ตามประสาลูกทะเลที่หลายวันได้กลับเข้าฝั่ง ทุกคนชวนผมร่วมวงด้วย แต่เป็นครั้งแรกที่ผมปฏิเสธ (ฮิ ฮิ เหลือเชื่อ) สาเหตุเพราะตานั่นแหละ


บรรยากาศ การสังสรรค์ของลูกทะเลที่ท้ายเรือเมื่อฝนกำลังตก
-----------------------------------------


วันนั้น พวกเรากลับออกมาจากท่าเรือ “ทับละมุ” ประมาณ 3ทุ่มเศษ ฝนยังตกตลอดเวลา

แล้วพบกันใหม่ครับ

ชำนาญ ณ.อันดามัน

05/07/2010
-------------------------------------

พื้นที่แสดงความคิดเห็น


(กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ ขอบคุณ)
-------------------------------------