วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ร้านอาหารบ้านซาไก(ชำนาญ ณ.อันดามัน ออนทัวร์อีสาน/ตอน2)


เจ็ดโมงเช้าของวันที่ 24 พ.ค.54 ผมลงจากรถทัวร์สาย ภูเก็ต-หนองคาย (ซึ่งผมช่วยเบรกมาเกือบตลอดทาง จนรู้สึกปวดขาหนึบ) ที่สี่แยกบ้านไผ่ โดยที่เจ้าชาง ซาไก มารอรับอยู่ก่อนแล้ว ต่อจากนั้นเจ้าชาง ก็พาผมไปกินกาแฟในตลาดบ้านไผ่

เสร็จจากกินกาแฟและของว่างนิดหน่อย เจ้าชาง ไปหาซื้อสายกีต้าร์ แล้วจึงมุ่งหน้ากลับบ้านที่ บ้านท่านางเลื่อน อำเภอชนบท ประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตก บนถนนสาย บ้านไผ่-มัญจาคีรี

เมื่อมาถึงบ้านเจ้าชาง ผมได้รับการทักทายต้อนรับด้วยความตื่นเต้นดีใจ จากญาติๆเมียของเจ้าชาง ในจำนวนนั้น หลายคน เจ้าชาง เคยพาไปบ้านผมที่ภูเก็ต และได้รับความประทับใจจากทะเล สายลม แสงแดด แหม่มแก้ผ้า บนชายหาดป่าตองมาแล้ว บางคนยังเล่าประสบการณ์ครั้งนั้นสู่กันฟังไม่จบสิ้น
บ้านเจ้า ชาง ซาไก

ทักทาย พูดคุย ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ จนเวลาผ่านไปพอสมควร เจ้าชาง จึงได้พาผมไปที่ร้านบ้านซาไก ของเขา ที่อำเภอมัญจาคีรี ซึ่งห่างออกไปประมาณ 6 กิโลเมตร บนถนนสาย ชนบท-ขอนแก่น เพื่อวางแผน เตรียมการณ์รับมือกับคอนเสิร์ต มาลีฮวนน่า ในคืนวันรุ่งขึ้น..

เรา(หมายถึงผม,เจ้าชาง,เมียและลูกสาวอายุ 3 ขวบ ของเขา) ไปถึงที่ร้าน ประมาณ 10 โมงเช้า (เจ้าชาง เปิดให้บริการมาประมาณเดือนเศษ) ตั้งอยู่ริมถนนสาย มัญจาคีรี-ขอนแก่น เลยสามแยก มัญจาคีรี-ชัยภูมิ ไปทางขอนแก่น ประมาณ ครึ่งกิโลเมตร ติดกับร้านขายไม้ดอก ไม้ประดับและอุปการณ์ตกแต่งสวนหย่อมต่างๆ มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร โครงสร้างและเสาทำด้วยไม้ เปิดโล่งๆ โต๊ะ เก้าอี้ ทำด้วยไม้ มีเวทีดนตรีเล็กๆอยู่ภายใต้หลังคา ส่วนลานภายนอกหลังคา จัดวางชุดโต๊ะเก้าอี้ปูน ออกแบบเป็นคล้ายๆ ลวดลายของต้นไม้ ทาสี เขียว น้ำเงิน รวมโต๊ะทั้งภายใต้หลังคาและลานภายนอก 20 กว่าชุด ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ มองในภาพรวม การจัดร้านไม่หรูหรา แต่บรรยากาศคลาสสิค น่านั่งกินเหล้าพอสมควร พอเหมาะพอสมกับอำเภอเล็กๆ ซึ่งห่างจากตัวจังหวัดออกมาเกือบ 100 กิโลเมตร
ร้านอาหาร บ้านซาไก อำเภอมัญจาคีรี

สำหรับงานคอนเสิร์ต เจ้าชาง ทำโต๊ะจองไว้ 50 โต๊ะ(ต้องเช่ามาเพิ่มจำนวนหนึ่ง) แต่ละโต๊ะมี 6 ที่นั่ง เปิดให้จองราคาโต๊ะล่ะ 1,500 บาท โดยรวมเหล้า 1 ขวด โซดา 3 ขวด น้ำดื่ม 1 ขวดและน้ำแข็ง 1 ถัง ถ้าลูกค้าสั่งนอกเหนือจากนั้น ก็เขียนบิล ตามราคาขายปกติของร้าน นับว่าเป็นการขายที่ไม่สูงเกินไป สำหรับการดูคอนเสิร์ต วงดนตรีเพื่อชีวิต ที่จัดอยู่ในระดับชั้นแนวหน้า วงหนึ่งของเมืองไทย

เราปรึกษาหารือวางแผนเรื่องการจัดการ การขยายพื้นที่ให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด การจัดวางแนวโต๊ะ การจัดวางอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็น ในที่ ที่เหมาะสม

ช่วงเวลานั้นจะมี ทีมงานเครื่องเสียงและรถแห่สปอร์ตโฆษณา แวะเวียนเข้ามาจอดพัก กินน้ำกินท่า ดูเป็นที่ครึกครื้นดีเหมือนกัน
รถแห่สปอร์ตโฆษณา คอนเสิร์ตมาลีฮวนน่า
 หลังอาหารเช้า+เที่ยง (ที่เมียเจ้าชาง ไปหาซื้อสำเร็จรูป มาจากตลาดมัญจาคีรี) เราเริ่ม เคลื่อนย้าย กระถางต้นไม้ กระถางน้ำพุและสิ่งของ เครื่องใช้ที่มีน้ำหนักมากๆก่อน โดยมีคนงานที่ร้านขายต้นไม้มาช่วยเคลื่อนย้าย

กระทั่ง ประมาณ 4 โมงเย็น พวกเรากลับไปที่บ้านเจ้าชาง เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และกลับมาที่ร้านบ้านซาไกอีกครั้ง พร้อมกับกุ๊กและผู้ช่วยกุ๊ก(แม่ยายกับญาติแม่ยายเจ้าชาง) เพื่อเปิดร้านให้บริการลูกค้าตามปกติ เวลา 6 โมงเย็น

บรรยากาศตอนเย็น
 ประมาณ 6 โมงครึ่ง เจ้าชาง พาผมไปซื้อเหล้า เบียร์ ที่ร้านขายของชำประเภทขายส่ง ในตลาดมัญจาคีรี ผมได้เจอกับฝรั่งคนหนึ่ง นั่งกินเบียร์ช้างกระป๋อง อยู่บนม้าหินอ่อนหน้าร้าน ผมแถเข้าไปเสวนาทันที ตามประสาคนที่เห็นฝรั่งเป็นไม่ได้

“ฮัลโหล!” ผมทักทายเป็นภาษาอังกฤษ

“ซาหวัดดีคราบบ..สิบ๊ายดีบ่อ?” ฉิบหาย!..พวกตอบผมเป็นภาษาอีสานหน้าตาเฉย

“สบายดีครับ ขอบคุณ” ผมตอบเป็นภาษาไทยมั่ง พร้อมกับยิ้มให้ แบบแหยๆ ด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้

ต่อจากนั้น เขาก็เชิญให้ผมนั่ง และชวนกินเบียร์กับเขา แต่คราวนี้เป็นภาษาอังกฤษครับ ท่านผู้ชม

เออ..ค่อยโล่งอก ภาษาอังกฤษผมพอไปได้ แต่ภาษาอีสานสำเนียงฝรั่ง ผมจนด้วยดอลล่าจริงๆ ที่จะทำความเข้าใจ

ผมบอกขอบคุณและนั่งลง (แต่ไม่กินเบียร์ของเขา ) แนะนำตัวเองว่าเป็นใคร มาจากไหนและมาทำอะไรที่นี่.

ส่วนเขาบอกผมว่า “ชื่อไมค์ เป็นคนอังกฤษ มามีเมียเป็นคน อำเภอมัญจาคีรีนี่แหละ 10 กว่าปีแล้ว เมื่อก่อนก็เที่ยวตระเวนตามหมู่บ้านชาวเขาแถวเชียงใหม่ เชียงรายโน่น”

ผมถามว่า “เคยไปภูเก็ตหรือไม่?”

เจ้าไมค์ บอกว่า”ไม่เคยไปและไม่คิดอยากจะไป เพราะไม่ชอบทะเลและไม่ชอบแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมากๆ”

เราคุยกันหลายเรื่อง จนถูกคอกันเป็นอย่างดี ผมจึงชักชวนว่า คืนพรุ่งนี้ ไปดูคอนเสิร์ตที่ร้านบ้านซาไกสิ ผมจะให้สิทธิ์เขาเป็นพิเศษ (ผมเริ่มทำตัวใหญ่กว่าเจ้าของร้าน)โดยไม่ต้องจองโต๊ะ ที่ทางร้านเปิดให้จองโต๊ะละ 1,500 บาท

“ยูชัวร์?” เขาถามผมกลับมา แบบไม่ค่อยเชื่อถือ

“ชัวร์ เพื่อน” ผมยืนยันหนักแน่น พร้อมกับส่งมือให้เขาจับ

“โอ เค. ไอจะพาเมียกับแม่ยายไปด้วย” เขาตอบรับ

“ด้วยความยินดี แล้วพบกันคืนพรุ่งนี้นะ” ผมบอกก่อนจะขอตัวลุกเดินไปขึ้นรถเจ้าชาง ที่รออยู่ กลับร้านซาไก

เจ้าไมค์ เพื่อนฝรั่ง พบกันที่ร้านขายของชำ
 เรามาถึงร้านซาไก อีกไม่กี่นาทีต่อมา ขณะที่เรากลับมาถึง ครอบครัวเจ้าชาง และพนักงานเสิร์ฟ กำลังกินอาหารค่ำกันอยู่ เจ้าชาง เข้าไปร่วมวง ส่วนผมบอกพวกเขาว่ายังไม่หิวข้าว แต่อยากกินเหล้า แฮ่ แฮ่..

คืนนี้ อากาศร้อนอบอ้าว ลมไม่พัดเลย เจ้าชาง บ่นกังวลกลัวว่าฝนจะตก ซึ่งขณะนั้นภายในร้านมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแล้ว 2 โต๊ะ ถ้าหากว่าฝนเกิดตกขึ้นมาตอนนี้ ก็คงจะมีลูกค้าแค่เพียง 2 โต๊ะนั่น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับเจ้าของร้าน

บรรยากาศ ร้านซาไก
 ถึงแม้ว่า อากาศจะอบอ้าว แต่บรรยากาศของร้านซาไก ก็ยังน่ากินเหล้าไม่เบา ผมจึงไม่รอช้า บริการตัวเอง จัดหาเหล้า โซดา น้ำแข็ง แก้ว แล้วยึดเอาโต๊ะตรงมุมที่เหมาะสม นั่งละเลียดมองบรรยากาศของร้าน โดยมีผัดเผ็ดหมูป่าและยำแหนมสด ที่แม่ยายเจ้าชาง จัดมาให้เป็นกับแกล้ม

ประมาณ 2 ทุ่ม นักดนตรี 3 คน ที่เล่นประจำในร้านก็ทยอยกันมา เจ้าชาง แนะนำให้เข้ามารู้จักกับผม บอกว่าชื่อพี่สาม เป็นพี่ชายมาจากภูเก็ต จะมาช่วยงานคอนเสิร์ต พวกนั้นทำคารวะ ผมจึงชวนทั้ง 3 คนให้นั่งคุยด้วยกัน
เจ้าเอ็ม นักดนตรีร้านซาไก
 นักดนตรีคนหนึ่งชื่อเอ็ม ดูจะเด็กกว่าใคร ผมคะเนอายุ คงจะซัก 20 กว่าๆ เจ้าเอ็มสนใจผมมากเป็นพิเศษ ชวนพูดคุย ซักถามเกี่ยวกับภูเก็ต หลายแง่ หลายมุม และบอกผมว่ามีความใฝ่ฝันจะได้ไปเห็นทะเลภูเก็ตสักครั้งในชีวิต ผมจึงบอกว่า ถ้ายังทำงานอยู่กับเจ้าชาง อีกไม่นานก็คงได้ไป
หัวค่ำเล่นเพลงเพื่อชีวิต
 2 ทุ่มครึ่ง นักดนตรีทั้ง 3 คน ขอตัวขึ้นเวที ส่วนผมกินเหล้าฟังพวกเขาเล่นเพลงเพื่อชีวิต โดยมีสาวเสิร์ฟคนหนึ่งของเจ้าชาง มาชงเหล้าให้ รู้สึกครึ้มๆ ดีเหมือนกัน อิอิ..

เด็กเสิร์ฟ ที่ร้านซาไก

พนักงานเสิร์ฟ ร้านซาไกเขาหละ
 ผมนั่งละเลียดเหล้า ฟังเพลงเพลินๆ สักพัก เจ้าฝรั่งไมค์ ที่เจอกันตรงร้านขายของชำเมื่อตอนหัวค่ำ เดินเข้ามาในร้าน พร้อมกับหิ้วถุงก๊อบแก๊บ ที่มีเบียร์ช้างกระป๋องอยู่ในถุงหลายกระป๋องเข้ามาด้วย

ผมคิดในใจ ไอ้หมอนี่ ปรับตัวเป็นชาวบ้านพื้นเมืองได้กลมกลืนดีแท้ เข้ามาในร้านอาหาร แต่ดันหิ้วเบียร์มาจากข้างนอก ไม่ยอมมาสั่งในร้าน เพราะว่าราคาสูงกว่าหลายบาท.. แม่ง..น่าถีบจริงๆ บักห่านี่..

หมอพูดกับพนักงานเสิร์ฟผู้หญิง ที่เดินออกไปต้อนรับ แล้วชี้มาทางผมซึ่งกำลังเดินออกไปหาพอดี ผมทักทายแบบนึกไม่ถึงว่าหมอจะมาในตอนนี้ แต่ก็เชิญให้นั่ง หมอเลือกนั่งโต๊ะหน้าเวที พร้อมกับส่งถุงใส่เบียร์ให้พนักงานเสิร์ฟ พร้อมกับพูดว่า เปิดให้เขาหนึ่งกระป๋อง ที่เหลือฝากแช่ในตู้แช่ก่อน ค่อยทยอยเอาออกมา พนักงานเสิร์ฟยืนหิ้วถุงเบียร์ ทำหน้าเหรอ เพราะฟังไม่เข้าใจ ผมจึงต้องแปลให้ฟัง

แต่เมื่อ พนักงานเข้าใจความต้องการของฝรั่งเท่านั้น ผมได้ยินเสียงบ่นเป็นภาษาอีสานพื้นเมืองว่า “ฮ่วย!บักห่านี่ สีแม่มัน..บ่อเคยได้เงินจากมันจั๊กเทื่อ” แปลว่าอะไรผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อิ อิ..

เป็นอันว่า ผมต้องย้ายที่นั่งจากโต๊ะเดิม มานั่งคุยกับเพื่อนฝรั่ง ที่โต๊ะหน้าเวที ซึ่งจะต้องแหกปากพูดแข่งกับเสียงดนตรีบนเวที

ผมกับเจ้าไมค์ พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่เรื่องดนตรี เรื่องวิถีชีวิตของคนอีสาน เรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง อาหารการกิน.. หมอ ยอเมียตัวเองว่าทำอาหารไทยอร่อย โดยเฉพาะต้มยำกุ้ง แถมโม้ให้ผมฟังอีกว่า เคยพาเมียไปบ้านมันที่ประเทศอังกฤษ เมียทำอาหารไทยให้พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงของมันกินมาแล้ว ทุกคนยอมรับว่าเมียมันทำอาหารไทยอร่อยมาก

ผมดักคอว่า “เมียยู ทำส้มตำปลาร้าอร่อยมั๊ย?”

“โน!.ไอ ไม่ชอบปลาร้า” เจ้าไมค์ รีบตอบปฏิเสธผม

อ้าว..มีเมียอีสาน แต่ไม่กินปลาร้า มึงก็ไม่แน่จริงนี่หว่า ผมแค่คิด..

เจ้าไมค์ ปิดท้ายด้วยการชวนผมให้ไปบ้านมันในวันรุ่งขึ้น เพื่อจะได้ชิมอาหารจากฝีมือของเมียมัน ผมไม่ปฏิเสธ แต่บอกว่า พรุ่งนี้ผมคงไม่ว่างต้องเตรียมงานสำหรับคอนเสิร์ต จะหาเวลาไปวันหลัง เจ้าไมค์ บอกว่ายินดีต้อนรับผม ทุกเวลา

นั่งดวลกันไป โม้กันไป เจ้าไมค์ นึกครึ้มขึ้นมา บอกผมว่า “จะขอขึ้นไปร้องเพลงได้หรือเปล่า?”

ผมบอกว่า “ได้ เดี๋ยวจัดให้ แต่ ยูร้องเพลงเป็นด้วยรึ?” ผมถามเจ้าไมค์ อย่างไม่แน่ใจ เพราะผมรู้สึกว่า ไอ้ฝรั่งคนนี้ มันน่าจะแค่พูดได้อย่างเดียว!. แต่พอขึ้นบนเวที กลับผิดคาด หมอร้องเพลงได้และร้องได้ดีซะด้วย ลูกค้าในร้านปรบมือให้ทุกคน
เพื่อนไมค์ของผม ร้องเพลงเสร็จ แอ๊คชั่นถ่ายรูปกับนักดนตรีอีกต่างหาก
 จนกระทั่งเกือบ 5 ทุ่ม ช่วงนั้นลูกค้าทยอยเข้ามาหลายโต๊ะ เจ้าไมค์ กระดกเบียร์หมดกระป๋องที่ 6 ซึ่งเป็นกระป๋องสุดท้ายที่หมอหิ้วมา จึงขอตัวกลับ ผมเดินออกไปส่งที่หน้าร้าน ตอนแรกผมเข้าใจว่าหมอขับรถยนต์มา แต่ผิดถนัด หมอเดินไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซต์เก่าๆ คันหนึ่ง ซึ่งเก่าจริงๆ เก่าขนาดว่ากระจกส่องหลังไม่มีและเมื่อเจ้าไมค์ สตาร์ทเครื่องยนต์ ไฟท้ายก็ไม่เห็นมี เมื่อไฟท้ายไม่มี แล้วไฟเลี้ยวจะมีได้ยังไง?.. เมื่อไฟเลี้ยวก็ไม่มี จึงอย่าหวังว่าหมวกกันน๊อคจะมี?!..อีกทั้งใบขับขี่ของไอ้เจ้าไมค์ ต้นมันเป็นยังไงหละทีนี้ !?...และผมยังสงสัยอยู่ว่า เบรกรถของมันมีหรือเปล่า???....

“เฮ้..ไมค์ ขับดีๆ นะเพื่อน” ผมพูดเตือนด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิ์ภาพของมัน เพราะเท่าที่ผมสังเกต จะมีรถพ่วง 18 ล้อ 22 ล้อ วิ่งไปมา บนถนนสายนี้จำนวนมาก

“ด๊อน..วอรี่ ขอบใจเพื่อน..ไม่ต้องห่วง กูขับทุกคืน บ้านอยู่ห่างไม่ถึง 2 กิโลฯ” เออ..เอากะมันสิ..

ผมเชื่อสนิทใจเลยว่า ฝรั่งปรับตัวเข้ากับสังคมพื้นเมืองและสิ่งแวดล้อมได้ดี..ผมเคยเห็นฝรั่งอยู่บ้านเมียคนไทย นุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อกล้าม ขับรถพ่วงข้าง ย้อนศรหน้าตาเฉย ..ประเทศไทย เป็นประชาธิปไตย ใครทำอะไรก็ได้จริงๆ...ฮ้า ฮ้า ฮ้า...

บรรยากาศบนเวที เจ้าชาง เล่นเพลงสากล
 เมื่อเจ้าไมค์ ไปแล้ว ผมกลับมานั่งกินเหล้าต่อ ช่วงนั้น เจ้าชาง กำลังเล่นดนตรีอยู่บนเวที เน้นไปทางเพลงสากลเก่าๆ จากการขอของลูกค้า และมีบางคนลุกขึ้นเต้นด้วย ก็น่าเห็นใจ เพราะอำเภอเล็กๆ ห่างไกลจากตัวจังหวัดมากพอสมควร พวกเขามีโอกาสน้อยที่จะได้ฟังเพลงสากลจากการเล่นสดบนเวที เมื่อมีร้านอาหารที่มีมีดนตรีเล่นเพลงสากลที่เขาชอบเกิดขึ้นใกล้ๆบ้าน ก็ต้องปลดปล่อยกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ว่ากันไม่ได้ แถมแขกผู้มีเกียร์ติบางคนขึ้นไปแจมบนเวที นักดนตรี ไม่ขัดข้อง จัดไปตามความพอใจ แขกบางคนเสียงดีร้องเพลงฟังได้ดี บางคนเสียงไม่ดีไม่เจียมตัวขึ้นไปร้อง ทำเอาเพลงที่เขาแต่งมาดีๆเละเป็นขี้ก็มี บางคนเมาคลานขึ้นเวที ตาลายตกลงมากลิ้งอยู่หน้าเวทีก็มี สารพัดรูปแบบมีให้เห็นในร้านขายเหล้า
ลูกค้าขึ้นไปแจมร้องเพลง
 ช่วงดนตรีเบรก ผมชวนนักดนตรีมานั่งกินเหล้ากับผม ไม่มีใครปฏิเสธ ธรรมชาติของนักดนตรีเกือบทุกคน(ยกเว้นเจ้าชาง) ไม่กินเหล้าก็กินเบียร์ โดยเฉพาะเจ้าเอ็ม ซึ่งถูกชะตากับผมมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่แรกเจอหมอหาแก้วมาบริการตัวเองทันที ไม่ต้องให้ชวนซ้ำสอง เจ้านี่นั่งดวลกับผมจนถึงเวลาขึ้นเวทีอีกรอบ

ตีหนึ่ง ลูกค้าเช็คบิล จนเหลือโต๊ะสุดท้าย 2 คนที่ยังติดลม นักดนตรีลงจากเวที เจ้าชางปิดไฟเวทีมืด แบบว่าไล่แขกนั่นแหละ พวกจึงได้เช็คบิล งึกๆงักๆ กอดคอกันเดินออกจากร้าน

เจ้าเอ็ม มานั่งกรึ๊บกับผมต่อ นักดนตรี 2 คนกลับ เด็กเสิร์ฟกลับ เจ้าชางกับครอบครัวเตรียมตัวกลับ ซึ่งผมจะต้องกลับด้วย แต่เจ้าเอ็ม ติดลมบน บอกกับเจ้าชาง ว่า “เฮียกลับไปก่อน ผมขอนั่งคุยกับลุงสามต่อ แล้วผมจะไปส่งที่บ้านทีหลัง” เจ้าชางจึงกลับไป

เป็นอันว่าผมกับเจ้าเอ็ม ติดลม ดวลกันต่อ จนตี 4 เหล้าหมดไปขวดครึ่ง ผมจึงได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ เจ้าเอ็ม กลับไปบ้านเจ้าชาง โดยมีเหล้าที่เหลืออีกครึ่งขวดติดมือไปด้วย

คืนแรกของผม ที่ร้านบ้านซาไก ผมไม่ได้กินข้าวมื้อค่ำครับพี่น้อง เฮ่อะ..เฮ่อะ..


รอติดตามตอน...คอนเสิร์ตมาลีฮวนน่าที่ร้านซาไก(ชำนาญ ณ.อันดามัน ออนทัวร์อีสาน/ตอน3)
ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ติดตามอ่านเรื่องเล่าของ ชำนาญ ณ.อันดามัน

------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชำนาญ ออนทัวร์อีสาน

หลังสงกรานต์ ชำนาญ ณ.อันดามัน ได้รับคำเรียกร้องจากเจ้าน้องชาย ชาง ซาไก ศิลปิน ผู้เขียนเพลงและโปรดิวเซอร์ จากดินแดนทักษิณ ผู้ผินตัวเองไปเป็นเขยอีสานบ้านท่านางเลื่อน อ.ชนบท จ.ขอนแก่น

ด้วยเหตุผล เพื่อให้ไปช่วยดูแลและประสานงาน ในคอนเสิร์ต มาลีฮวนน่า ซึ่งเขาจัดขึ้นที่ร้านอาหารของตัวเอง ชื่อร้านบ้านซาไก ตั้งอยู่ อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ในคืนวันที่ 25 เมษายน 54

ถือเป็นการออนทัวร์ ของนายชำมะนาน ในปี 2554 เพราะนอกจาก ได้ไปช่วยงานคอนเสิร์ตแบบเต็มวง เต็มเวทีของมาลีฮวนน่าแล้ว ยังได้ไปเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวของ อำเภอมัญจาคีรี และได้มีโอกาสไปสัมผัสกับวิถีชีวิตชนบทของพี่น้องชาวอีสานอย่างที่คนจากทะเล น้อยคนจะได้ไปสัมผัสอย่างลึกซึ้งถึงวิถีชีวิต เรียบง่าย พอเพียง แต่จริงใจ

หลังจากการตอบตกลงกับเจ้าชาง ผมวางแผนเดินทางด้วยรถทัวร์ ที่วิ่งตรงจาก ภูเก็ต-หนองคาย ซึ่งเปิดให้บริการมาได้ไม่นาน คิดว่าน่าจะได้ประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากการขับรถไปด้วยตัวเอง อีกทั้งยังประหยัดงบประมาณอีกอักโข ถ้าเทียบกับการต้องจ่ายค่าน้ำมันซึ่งพุ่งกระฉูดขึ้นไปลิตรล่ะเกิน 30 บาท

ตอนบ่ายๆ ของวันที่ 22 เม.ย. ผมไปจองตั๋วรถทัวร์ที่สำนักงานชาญทัวร์ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณ สถานี บขส.ภูเก็ต เพื่อเดินทางในวันที่ 23 เม.ย.

ผมเข้าไปพบกับพนักงานรับจองตั๋วสาว หน้าตาบ่งบอกถึงคนในพื้นที่จุดหมายปลายทาง ประมาณว่าเป็นโลโก้ของบริษัทก็ว่าได้

ผมบอกเธอว่า ขอจองตั๋วไปลงที่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ขอที่นั่งชั้นบน แถวซ้ายมือเก้าอี้ตัวหน้าสุด เธอแหงะขึ้นมองหน้าผมแบบมึนๆอย่างสงสัยว่าตาลุงนี่มายังไง? ไปยังไง?

ผมตีหน้าตาย พยักหน้าแบบย้ำความต้องเดิม ด้วยความหวังว่า ที่นั่งตรงนั้น จะทำให้ผมมองเห็นทัศน์วิสัยกว้างไกล ขณะที่รถกำลังวิ่ง เพื่อจะได้เก็บภาพ(แต่ไม่ได้ถ่ายซักรูป)และถ่ายคลิปวีดีโอ จากอะไรก็ตาม ถ้าผมคิดว่าน่าสนใจ เพื่อเอามาประกอบเรื่องโม้ของผม

เธอจัดการเขียนตั๋วขยุกขยิก พร้อมกับบอกผมว่า “ให้ที่นั่ง หนึ่งเอ ราคา 1,107 บาท”

ผมควักเงินส่งให้ พร้อมกับถามแบบขอคำตอบสรุปว่า “รถออกจากที่นี่ กี่โมง? และถึงบ้านไผ่กี่โมง?”

เธอตอบยาวว่า เหมือนที่ผมบอกตอนจองตั๋ว “รถออกจากภูเก็ตบ่าย 2 โมง ให้ลุงมาก่อนเวลารถออกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง และจะถึงบ้านไผ่ประมาณ 7 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น แต่รถจะไม่เข้าไปส่งที่ สถานี บขส.บ้านไผ่นะ จะจอดให้ลุงลงที่สี่แยกบ้านไผ่ บนถนนมิตรภาพ”

ผมเข้าใจไม่ยากและบอกขอบใจเธอ แล้วเดินออกมาโทรศัพท์ บอกเจ้าชาง ให้ไปรับผมตามสถานที่และเวลานั้น ในวันที่ 24 เม.ย.

วันที่ 23 บ่ายโมงครึ่ง ผมถึง สำนักงานชาญทัวร์ ในบริเวณ สถานี บขส.ภูเก็ต เห็นรถบัส 2 ชั้น 8 ล้อ ใหม่เอี่ยม จอดอยู่หน้าสำนักงาน โดยมีคนกำลังล้าง เช็ดทำความสะอาด อย่างเร่งรีบ ผมเดาเอาว่า คงเป็นรถคันนี้แน่ๆ ที่จะพาผมไปออนทัวร์อีสานในครั้งนี้ และน่าจะเพิ่งมาถึงภูเก็ตเมื่อไม่เกิน 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เพราะมีสติ๊กเกอร์ตัวโตๆ ติดอยู่บนกระจกหน้าชั้นบนว่า ภูเก็ต-หนองคายและVIP. ถัดลงมา บนกระจกหน้าตรงคนขับ เขียนว่าเบาะนวดไฟฟ้า ข้อความนั้นน่าสนใจ ผมคงได้ประสบการณ์แปลกใหม่ กับการนั่งรถทัวร์ครั้งนี้แน่ๆ

ด้านข้าง เขียนว่าชาญประเสริฐทัวร์ น่าจะเป็นชื่อบริษัททัวร์ อีกบรรทัดถัดลงมา เขียนว่า ผู้ดีเถื่อน ซึ่งผมพยายามแปลความหมาย แต่จนแล้ว จนรอดก็ตีไม่แตกว่ามันมาเกี่ยวอะไรกับรถทัวร์คันนี้

ถัดไปเขียนว่า ภูเก็ต-หนองคาย บรรทัดล่าง อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา...ชัดแจ๋ว เส้นทางสัมปทานของเขา

เมื่อผมเข้าไปถามสาวพนักงานหน้าโลโก้คนนั้น เธอก็ตอบตรงกันกับที่ผมเข้าใจ แถมบอกมาด้วยว่า มีคนขับ 2 คน สลับสับเปลี่ยนกันขับ จนถึงปลายทาง หนองคาย ผมคิดว่าก็ควรจะเป็นยังงั้น ระยะทางเกือบ 2,000 กิโลเมตร ถ้ามีคนขับแค่คนเดียว ผมคงต้องคืนตั๋วและขอเงินคืน ไม่อยากไปเสี่ยงตาย 99% ด้วยหรอก

ผมเดินๆ นั่งๆ เกร่อยู่แถวนั้น กระทั่งอีก 10 นาทีจะบ่าย 2 โมง เธอคนนั้นบอกให้ผมเดินไปรอขึ้นรถที่ชานชาลา ซึ่งห่างออกไปประมาณ 50 เมตร รถจะไปจอดให้ผู้โดยสารขึ้นที่นั่น

เมื่อผมเดินไปถึง รถคนนั้นก็เข้าเทียบชานชาลาพอดี

หลังจากที่ผมและผู้โดยสารคนอื่นๆ ขึ้นรถ ผมสำรวจดูที่นั่งเหลือไม่เกิน 10 ที่ สำหรับผมได้ที่นั่งตามต้องการคือ เก้าอี้ด้านซ้าย แถวหน้าสุด ติดกระจกหน้า มีพื้นที่กว้างขวางพอที่จะเหยียดแข้ง เหยียดขาได้สบายๆ

พอนั่งลงเรียบร้อย ผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่านั่งอยู่ยานอวกาศ เพราะว่าหน้า-กระจก ซ้าย-กระจก ขวา-กระจก มันโล่งๆยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็ตรงตามความประสงค์ ที่จะได้เห็นภาพในมุมกว้างขณะที่รถวิ่ง

ผมมีเพื่อนผู้โดยสารที่นั่งเก้าอี้ติดกัน เป็นเด็กหนุ่มคะเนอายุสักประมาณ 30 ต้นๆ รูปร่างเล็กๆ หน้าตา ผิวพรรณ บ่งบอกชัดว่า เป็นคนพื้นเพแถวๆ จังหวัดปลายทางของรถคันนี้แน่ๆ

เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะคนทางภาคอีสานมาประกอบอาชีพ ทำมาหากินอยู่ที่ภูเก็ตเป็นจำนวนมาก ผู้โดยสารบนรถสายอีสานส่วนใหญ่จึงต้องเป็นคนภาคอีสาน ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด ถ้าจะผิดปกติอยู่บ้างบนรถคันนี้ ก็น่าจะมีผมคนเดียว ที่ไม่ใช่คนอีสานแต่โดยสารไปกับรถสายอีสาน..เอาเข้าไป.. อิ อิ..

เรายังไม่ได้ทักทายกัน เพราะเขามัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับการโทรศัพท์ ทั้งภาษาบ้านเขาและภาษาไทยภาคกลาง

กระทั่งบ่าย 2 โมง 10 นาที การออนทัวร์อีสานของผมก็เริ่มขึ้น เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา..

พนักงานประจำรถ เริ่มแจกผ้าห่ม น้ำดื่มหนึ่งขวดเล็กและกล่องขนมของว่าง น้ำหนักเบาๆ ให้กับผู้โดยสาร

ก่อนออกจากเขตตัวเมืองภูเก็ต รถจอดรับผู้โดยสาร อีก 3 จุด ทุกที่นั่งจึงเต็มพอดี ผมนั่งมองทิวทัศน์ อันสวยงามสองข้างทางด้วยความสบายใจ แต่ก็รู้สึกเครียดเป็นบางครั้ง เมื่อคนขับแซงผ่าหมาก และเบรกกระชั้นชิด ขนาดหัวรถไปจอกับตูดรถสิบแปดล้อบ้าง ท้ายรถบัสคันอื่นบ้าง แบบเฉียดๆ ฉิวๆ จนทำให้ผมต้องเกร็งตีนเหยียบเบรกด้วยทุกครั้ง คล้ายๆกับขับเองซะงั้น!..

ผมชักไม่แน่ใจซะแล้วสิว่า การจองที่นั่งตรงนี้ คิดถูกหรือคิดผิด อีกทั้งเมื่อรถวิ่งออกมานอกตัวเมือง แสงแดดตอนบ่ายจากทางทิศตะวันตกก็อัดเข้ามาแบบเต็มๆขนาดดึงม่านมาบังแล้วก็ยังช่วยได้ไม่มาก แต่ดีหน่อยที่แอร์รถเย็นมากพอจะช่วยได้บ้าง ไม่ยังงั้น ผมคงต้องนั่งตากแดดไปบนยานอวกาศอีกหลายชั่วโมงกว่าจะมืด.

กระทั่งรถข้ามสะพานสารสิน ขึ้นสู่แผ่นดินใหญ่ ผมจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนเก้าอี้ติดกัน

เขาแนะนำตัวเองว่า ชื่อท้าวสินธร เป็นคนลาวเวียงจันทร์ มาหาเพื่อนคนไทยที่ภูเก็ตเกี่ยวกับการทำธุรกิจบางอย่าง ปลายทางลงที่หนองคาย เพื่อข้ามไปเวียงจันทร์อีกต่อหนึ่ง

ส่วนผมแนะนำตัวเองเกี่ยวกับอาชีพการงาน จุดประสงค์การไปขอนแก่น เพื่อช่วยงานน้องชายเกี่ยวกับคอนเสิร์ต มาลีฮวนน่า ในค่ำวันที่ 25 นี้

เมื่อเขาได้ยินว่ามีคอนเสิร์ตมาลีฮวนน่า เขาบอกผมว่า เขาและคนลาวชอบวงมาลีฮวนน่ามาก เขาอยากจะไปดูคอนเสิร์ตมาลีฮวนน่าด้วย จะได้หรือไม่?

ผมจึงบอกเขาไปว่ายินดีต้อนรับ ถ้าไปในนามผมไม่ต้องจ่ายค่าที่นั่ง และผมจะเลี้ยงเหล้า เลี้ยงข้าวเขาด้วย

เขาแสดงความดีใจอย่างมาก และบอกผมว่า ถ้าผมอยากไปเที่ยวประเทศลาวเขายินดีดูแลผมทุกเรื่องเป็นการตอบแทน โดยเขาจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง

ต่อจากนั้นก็เป็นการนัดแนะวัน เวลาที่จะพบกัน และคุยเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ เท่าที่ได้คุยกัน รู้สึกว่าเขาจะมีความจริงใจและจริงจังกับผมมากทีเดียว

สหายชาวลาว ภาพนี้ถ่ายภายหลังงานคอนเสิร์ตมาลีฮวนน่า
รถวิ่งมาตามเส้นทาง พังงา ทับปุด ตาขุน คีรีรัฐนิคม เข้าสู่ถนนสายเอเชีย ผ่านแยกไป อ.พุนพิน(แยกหนองขรี) ผ่านห้างโคออป ผ่านสนามบินสุราษฎร์ธานี โดยที่ผมต้องนั่งลุ้นและช่วยคนขับเบรกมาตลอดเส้นทางเพราะผมมองเห็นทุกสถานการณ์บนถนน

กระทั่งประมาณ 6 โมงเย็น รถจอดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พนักงานบนรถบอกว่า รถจอดครึ่งชั่วโมง ให้ทุกคนเข้าห้องน้ำและกินอาหารที่ทางบริษัททัวร์จัดไว้ให้กินฟรี และหลังจากนี้รถจะวิ่งยาวโดยไม่จอดพักอีก

ผมกับเพื่อนชาวลาวและผู้โดยสารคนอื่นๆ ลงจากรถ ทำธุระในห้องน้ำเสร็จ เข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ซึ่งเขาจัดไว้ให้ โต๊ะล่ะ 6 คน มีผัดผักรวมซึ่งมีผักอยู่สัก 2 ชนิด แกงจืดวุ้นเส้นที่จืดสนิท ไข่ผัดกับผักกาดดองเค็ม น่าจะเรียกว่าผักกาดดองเค็มผัดใส่ไข่นิดหน่อยมากกว่า แกงส้มซึ่งน่าจะเป็นแกงเหลืองมากกว่า เพราะไม่มีรสเปรี้ยวของส้มเลย มีกุ้งตัวเล็กๆประมาณ 5-6 ตัว นอกนั้นเป็นมะละกอชิ้นโตๆ (ถ้าคนในบริษัททัวร์มาอ่านเจอเข้า ผมคงไม่มีโอกาสได้ใช้บริการรถสายนี้อีกแน่ๆ อิ..อิ..) จะตำหนิทางบริษัทเขาก็ไม่ได้ เพราะค่าโดยสารเขาถูกมาก ถ้าเทียบกับระยะทาง จัดอยู่ในประเภททัวร์โลว์คอร์ส เหมือนเครื่องบินโลว์คอร์สนั่นแหละ จะเอาให้เลิศหรู วิลิศมาหรา ทุกอย่างไม่ได้หรอก มีให้แค่นี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

สำหรับผม ไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมไม่ค่อยกินอาหารหรือน้ำมากนัก เมื่อเดินทางด้วยรถทัวร์ กลัวมีปัญหาเรื่องท้อง เรื่องไส้ ที่จะต้องพึ่งห้องส้วมบนรถ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องใช้ทักษะเป็นอย่างมาก หากต้องเข้าไปนั่งถ่ายทุกข์ในนั้น ขณะที่รถกำลังวิ่งด้วยความเร็ว เกิน100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ถ้าท่านผู้อ่านทั้งหลายเคยนั่งรถทัวร์มาบ้าง คงนึกภาพห้องน้ำบนรถทัวร์ออกนะครับ มันจะอยู่ตรงบันไดขึ้นชั้น 2 ทางด้านขวามือ ซึ่งตำแหน่งของมันจะวางตรงกับล้อหลังด้านซ้ายของตัวรถพอดี ความกว้าง ไม่น่าจะเกิน 1 ตารางเมตร ความสูงตรงช่วงประตูสำหรับผู้ชายไทยไซต์มาตรฐานอย่างผมก็ต้องก้มนิดหน่อย

สภาพภายใน เมื่อเปิดประตูเข้าไป ทางด้านซ้ายมือจะมีถังน้ำพลาสติกสีมอๆหนึ่งใบ มีน้ำพอสมควร บางครั้งถ้ามีผู้โดยสารเข้าไปใช้มากก็จะเหลือถังเปล่าๆไว้ให้ดูอย่างเจ็บช้ำแทน ที่ก้นถังจะมีกระป๋องน้ำมันเครื่องตัดครึ่งท่อนไม่มีหูจับ นอนคว่ำหน้ากรนอย่างมีความสุขอยู่หนึ่งใบ

ฝาผนังทางซ้ายหรือขวา อาจจะมีกระจกบานเล็กๆ ติดอยู่หรืออาจจะไม่มีก็ได้ และกล่องใส่กระดาษชำระ ที่มันไม่ได้พบปะกับกระดาษม้วนใหม่มานาน จนมันอาจจะลืมไปแล้วว่ารูปร่างหน้าตาของม้วนกระดาษเป็นอย่างไร?..

ถัดเข้าไปอีก 2 คืบก็จะเป็นที่ตั้งโถชักโครกขนาดกะทัดรัด น่ารัก น่าเอ็นดู เหมาะสำหรับเด็กและผู้หญิงตัวเล็กๆ พอนั่งได้ไม่อึดอัด แต่ถ้าคนที่มีน้ำหนักเกิน 80 กิโลกรัมขึ้นไป คงจะต้องนั่งขมิบรูตูดอย่างทุกข์ทรมานอยู่บนเก้าอี้จนกว่ารถจะจอดที่ไหนสักที่ หรือไม่ก็ขอลงกลางทางเพื่อขี้ใต้ต้นไม้ ให้สบายใจก่อน แล้วค่อยโบกรถ 10 ล้อตามไป

โถชักโครกห้องน้ำรถทัวร์
ส่วนบนปากโถชักโครก ถ้าสังเกตให้ดี จะมีร่องรอย ลวดลายของพื้นรองเท้าแบบต่างๆ แปลกๆ ประทับซ้อนกันอยู่รอบๆที่นั่งอย่างสวยงาม และที่ขาดไม่ได้ ก็ดวงสีเหลืองๆ ด่างๆ แต่งแต้มเป็นสีสันอยู่รอบๆปากโถอย่างคลาสสิก ส่วนบนพื้นรอบๆชักโครก จะเจิ่งน้องไปด้วยน้ำ กระฉอกไปมา ตามจังหวะการโคลงของรถและมีกระดาษชำระ สีขาวและสีชมพูอ่อนๆ อุ่มน้ำพอพองๆ ลอยเล่นคลื่นอยู่อย่างมีความสุข..
ที่นี้เมื่อคุณมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปใช้บริการ จึงเปรียบประดุจหนังมหากาพย์สงครามเรื่องยาวทีเดียว เพราะคุณจะต้องฝ่าด่านและอุปสรรคต่างๆมากมาย จนกว่าจะได้รับชัยชนะ...

ด่านแรก คุณจะต้องเดินลงบันไดไปสองขั้นด้วยความระมัดระวัง ภายใต้ความมืดและแรงเหวี่ยงของรถต่อจากนั้นคุณจะต้องใช้ความพยายามนิดหน่อย เพื่อเปิดประตูและจับไว้ด้วยความมั่นคง ถ้าคุณไม่ระวัง ประตูอาจจะตีแสกหน้าของคุณจนหน้าแหกได้

ด่านที่สอง หลังจากเปิดประตูสำเร็จและคุณสามารถแทรกตัวเข้าไปภายในได้แล้ว คุณจะต้องจูนประสาทการรับกลิ่นของคุณ ให้เข้ากับกลิ่นภายในให้ได้โดยไว มิฉะนั้นคุณจะอ๊วกแตก ก่อนขี้แตก..

ปฏิบัติการขั้นต่อไป ต้องใช้ไหวพริบและปฏิภาณในการปิดประตูให้แน่นหนาด้วย มิฉะนั้นคุณอาจจะเปิดเผยตัวเองแก่ข้าศึกโดยไม่รู้ตัว

ด่านที่สาม ซึ่งเป็นด่านที่สำคัญมาก โดยที่คุณจะต้องใช้ทักษะในการหันตูดเข้าหาโถชักโครกให้ได้ และพยายามยืนให้มั่นคง โดยไม่ให้ปลายขากางเกงเปียกจากฟองคลื่นบนพื้นสนามรบ ต่อจากนั้นก็เป็นปฏิบัติการปลดเข็มขัดและรูดขอบกางเกง ด้วยมือข้างเดียว..ย้ำด้วยมือเพียงข้างเดียว เพราะว่ามืออีกข้างของคุณจะต้องยันฝาผนังส้วมเอาไว้ ป้องกันไม่ให้หัวทิ่ม

และด่านต่อไปนี้ จะเป็นด่านพิสูจน์ผลแพ้ชนะ ของการรบในสมรภูมิ(ส้วม)แห่งนี้ เมื่อคุณรูดขอบกางเกงลงมาได้แล้ว มีตัวเลือก 2 ตัวเลือก ให้คุณจะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า คุณจะเอาตูดของคุณวางลงบนขอบโถชักโครกที่เต็มไปด้วยลายพื้นรองเท้าและบนดวงสีเหลืองๆนั้น หรือ..คุณจะเอาลายพื้นรองเท้าของคุณประทับซ้อนลงบนรอยที่มีอยู่แล้ว!?..

ทั้งสองตัวเลือก มีวิธีปฏิบัติที่ยากง่าย แตกต่างกันออกไป...ซึ่งขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของคุณเองว่า จะเลือกเอาแบบง่าย แต่เสี่ยงกับการติดเชื้อโรคที่ตูดและอวัยวะเพศ หรือจะเอาแบบยาก แต่มีสิทธิ์ตกโถชักโครกและเลอะขี้ของตัวเอง.

ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีไหน คุณจะต้องระมัดระวัง สิ่งของติดตัวทุกอย่างไว้ให้มาก จะเป็นกระเป๋าสะตังค์ ที่อยู่ในกระเป๋าหลังของกางเกงหรือโทรศัพท์มือถือที่เข็มขัดรอบเอว กระทั่งชายเสื้อ(กรณีที่ใส่เสื้อเชิ้ตปล่อยชาย) ทุกอย่างมีสิทธิ์ ติดขี้ได้ตลอดเวลา

เมื่อตัดสินใจเลือกทางใด ทางหนึ่งแล้ว คุณก็ปฏิบัติการรบด้วยความทุลักทุเล ภายใต้ การเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา คะมำหน้า ผงะหลัง จนกว่าจะจบภารกิจ ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้น คงต้องเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าจะชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะก่อนจะถอนตัวออกจากสรภูมิรบ คุณจะต้องทำความสะอาดตูดของคุณก่อน ด้วยกระดาษชำระที่คุณมีติดตัวเข้าไปหรือกับน้ำในถังสีมอๆใบนั้น (ซึ่งอาจจะมีน้ำเยี่ยวของใครบางคนผสมอยู่บ้างก็ได้) และกับกระป๋องน้ำมันเครื่องตัดครึ่งท่อนซึ่งไม่มีหูจับ มันก็ไม่ง่ายซะทีเดียวกับการล้างตูด ในห้องส้วมเล็กๆบนรถบัสคันใหญ่ ที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนของประเทศไทย ด้วยความเร็วเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แต่...ใช่!..แต่ ถ้าหากคุณไม่มีกระดาษชำระและไม่มีน้ำในถังที่น่ารักใบนั้น(ถังที่น่ารัก..อ๊วกกก..) คุณจะจัดการกับตูดที่แสนดีของคุณยังไง???..

ผมขอแนะนำ ยุทธการเผด็จศึกขั้นสุดท้ายคือ....

คุณต้องบอกให้กางเกงใน ยี่ห้อดี ราคาแพงของคุณ สละชีพเพื่อตูดของคุณสักครั้ง นั่นแหละการรบของคุณครั้งนี้จึงถือว่าได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ...จบบริบูรณ์

เป็นยังไงบ้างครับท่านผู้ชม “ยุทธการเผด็จศึกในส้วมรถทัวร์” ของผม?..ใครจะนำเอาไปใช้บ้างก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะครับ อิ..อิ..

อีกประมาณ 40 นาทีต่อมา รถก็เคลื่อนตัวออกจากที่นั่น เลี้ยวซ้ายขึ้นบนถนนสายเอเชีย ใช้ความเร็วเต็มพิกัดตามกฎหมายกำหนด แต่ก็ไหลลื่นไปได้ด้วยดี เพราะเป็นถนน 4 เลน แต่ผมก็ยังช่วยเบรกเป็นบางครั้ง เมื่อรถ 18 ล้อฉีกออกมาทางเลนขวาอย่างกะทันหัน

ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา แสงไฟจากรถที่วิ่งไปข้างหน้าและที่สวนมา สว่างไสว สวยงาม ทำให้ผมนั่งมองด้วยความเพลิดเพลิน

ภายในรถ มีการฉายวีดีโอให้ผู้โดยสารดูตลอดเวลา เป็นรายการตลกบ้าง หนังสยองขวัญบ้าง หนังแอ๊คชั่นบ้าง แต่ผมไม่ได้ดูกับเขาหรอก เพราะเก้าอี้ที่นั่งของผม เสือกอยู่ใต้จอทีวีพอดี ผมจึงได้แค่ฟังเสียงเท่านั้น สมน้ำหน้า อิอิ..

เวลาผ่านไป ยิ่งดึกเข้า แอร์ภายในรถยิ่งเย็นจัด จนกระจกด้านนอกเป็นฝ้ามัว ผมจึงหมดโอกาสถ่ายรูปอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

ส่วนสหายชาวลาวของผม ขยับไปนอนกรนครอก อยู่บนเก้าอี้เบาะหลังตัวถัดไป เนื่องจากผู้โดยสารคู่นั้นลงไปก่อนแล้ว จึงทำให้ผมได้ครอบครองเก้าอี้ทั้ง 2 ตัว ด้วยความชอบธรรม แต่เพียงผู้เดียว

ผมได้โอกาส ทดลองเก้าอี้นวดไฟฟ้าทันที..หลังจากที่หาโอกาสมาตลอดเวลา

สำหรับแผงควบคุมการนวด อยู่ทางด้านซ้ายมือของเก้าอี้ ซึ่งผมสังเกตและสำรวจตรวจตราไว้ตั้งแต่ยังไม่มืด

บนแผงควบคุม มีปุ่มอยู่ 4 ปุ่ม มีปุ่มหยุด ปุ่มเบา ปุ่มกลางและปุ่มหนัก

ผมเริ่มทดลองกดปุ่มเบาก่อน เบาะพนักพิงด้านหลังเริ่มกระดุกกระดิกนิด ๆ พอทำให้รู้สึกว่า มีการเคลื่อนไหว แต่ก็สู้แรงสะเทือนจากรถที่กำลังวิ่งไม่ได้

ผมจึงขยับลงไปกดปุ่มกลาง ความแรงของการสั้นสะเทือนเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย แต่ตำแหน่งไปอยู่ที่บั้นเอว เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้โดนเต็มๆ จะต้องนั่งให้บั้นเอวชิดกับพนักพิงตลอดเวลา ซึ่งผมพิเคราะห์แล้วว่า มันน่าจะเมื่อยมากกว่าการไม่นวดอีกหลายเท่า

ผมจึงกดปุ่มหนักซึ่งเป็นปุ่มสุดท้าย จึงรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนทั่วทั้งแผ่นหลัง มีเสียงดังหึ่งๆมาจากมอเตอร์ได้ยินชัดเจน แต่ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้มาก พอสมควร

ผมนั่งให้เก้าอี้มันนวดเพลินๆ สักประมาณ 5 นาที มันก็หยุดไปเฉยๆ โดยไม่รู้สาเหตุ ทั้งๆที่ผมไม่ได้กดปุ่มหยุดของมัน จะว่ามอเตอร์เผาก็ไม่น่าจะใช่ เพราะไม่ได้กลิ่นอะไร

ผมทดลองกดใหม่ มันนวดอีก ผมจึงถึงบางอ้อว่า มันคงหยุดอัตโนมัติ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเอาไว้..

ทีนี้ก็เสร็จโจร พอมันหยุด ผมกด..พอมันหยุด ผมกด อิ อิ..

ผมกดนวดเพลินไปเลยครับ..พี่น้อง ฮ้า ฮ้า ฮ้า...

เก้าอี้นวดไฟฟ้า บนรถทัวร์
นั่งๆ เอนๆ หลับๆ ตื่นๆ สะดุ้ง เหยียบเบรกทุกที ที่รู้สึกถึงอาการเบรกแรงๆของรถ จนหลับไม่สนิทเหมือนคนอื่นทางด้านหลัง บางคนหลับกรนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ยังกะนอนอยู่ในบ้านของตัวเองก็ไม่ปาน เฮ้อ..คนหนอ..
ตีเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แอร์มันเย็นจนปวดท้องเยี่ยว จึงจำเป็นต้องไปสนามรบ และกว่าจะเสร็จภารกิจ ปลายขากางเกงเปียกจนได้ ทั้งๆที่พยายามเซ็ฟแล้ว

รถมาหยุดเติมน้ำมันครั้งหนึ่งที่เพชรบุรี แล้วตียาวเข้าทางสายปากท่อ-พระราม2 เลี้ยวซ้ายก่อนถึงบางขุนเทียน เข้าถนนเส้นไปบางบัวทอง-กาญจนาภิเษก บนถนนเส้นนี้ ตอนเวลาหลังเที่ยงคืน ผมได้เห็นขบวนรถมอเตอร์ไซ ที่เขาเรียกกันว่า เด็กแวน(เขียนยังไงว่ะ?) กับตาตัวเองเป็นครั้งแรก ไม่ต่ำจาก 200 คัน ขนาดรถยนต์ต่างๆ ต้องจอดชิดซ้ายให้พวกมันเป็นแถว และรถทัวร์คันที่เรานั่งยังต้องขับชิดเลนขวาไปช้าๆ

ผมเชื่อแล้วว่า เด็กพวกนี้น่ากลัว เมื่อพวกมันรวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมาก มันจะขับกันเต็มถนนทั้ง 6 เลน โดยไม่สนใจว่า รถคันอื่นจะไปได้หรือไม่?..

เสียดายที่ผมถ่ายรูปไม่ได้ เพราะกระจกรถมันเป็นฝ้า ที่ถ่ายมาแล้วก็มืด จนมองไม่เห็นอะไร เสียดายจริงๆ..

จนกระทั่ง รถมาขึ้นสาย พหลโยธิน ผมจึงหลับไป..

มาตื่นอีกครั้ง เมื่อรถจอดที่ปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และเด็กรถเรียกให้ผู้โดยสารลงยืดเส้น ยืดสาย ผมลงไปเข้าห้องน้ำ และกลับออกมาสูบบุหรี่ แล้วเกร่ไปถามคนขับรถว่าเป็นที่ไหน? เขาบอกว่าปากช่อง ผมเข้าใจว่า เรามากันเร็วมาก อีกไม่เกิน 3 ชั่วโมง ผมก็จะถึง จุดหมายปลายทาง.

ไม่นานต่อมารถออกจากปั๊มน้ำมันแห่งนั้น ขึ้นสู่ถนนมิตรภาพ มุ่งหน้าเข้าโคราช ฝนเริ่มตกลงมาอย่างหนัก ผมรู้สึกเสียวๆ เพราะมีข่าวบ่อยๆเกี่ยวกับรถทัวร์เทกระจาดผู้โดยสารบนถนนสายนี้ ในขณะที่ฝนตก

แต่ก็ทำใจว่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เพราะทำอย่างอื่นไม่ได้ อิ อิ..

รถเข้าไปส่งผู้โดยสารที่ บขส.โคราช หลายคน จนรู้สึกบางตา

เมื่อออกมาอีกที ประมาณตี 5 กว่าๆ ผมงีบไปนิดหนึ่ง ลืมตามาอีกทีท้องฟ้าสว่างโร่ รีบกดโทรศัพท์ บอกเจ้าชาง ว่าตอนนี้ รถออกมาจากโคราช ประมาณ 1 ชั่วโมงแล้ว เจ้าชาง รับรู้ ตอบผมว่าจะไปรอที่สี่แยกบ้านไผ่

7 โมงตรง รถจอดให้ผมลง ที่ป้ายจอด สี่แยกบ้านไผ่ ซึ่งเจ้าชาง ซาไก พร้อมกับเมียและลูก มารอผมอยู่ก่อนแล้ว.

รออ่าน คอนเสิร์ตมาลีฮวนน่า ที่ร้านอาหารบ้านซาไก เร็วๆนี้...

ขอขอบคุณ ทุกท่าน ที่ติดตามอ่านเรื่องโม้ของ ชำนาญ ณ.อันดามัน