วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ร้านอาหารบ้านซาไก(ชำนาญ ณ.อันดามัน ออนทัวร์อีสาน/ตอน2)


เจ็ดโมงเช้าของวันที่ 24 พ.ค.54 ผมลงจากรถทัวร์สาย ภูเก็ต-หนองคาย (ซึ่งผมช่วยเบรกมาเกือบตลอดทาง จนรู้สึกปวดขาหนึบ) ที่สี่แยกบ้านไผ่ โดยที่เจ้าชาง ซาไก มารอรับอยู่ก่อนแล้ว ต่อจากนั้นเจ้าชาง ก็พาผมไปกินกาแฟในตลาดบ้านไผ่

เสร็จจากกินกาแฟและของว่างนิดหน่อย เจ้าชาง ไปหาซื้อสายกีต้าร์ แล้วจึงมุ่งหน้ากลับบ้านที่ บ้านท่านางเลื่อน อำเภอชนบท ประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตก บนถนนสาย บ้านไผ่-มัญจาคีรี

เมื่อมาถึงบ้านเจ้าชาง ผมได้รับการทักทายต้อนรับด้วยความตื่นเต้นดีใจ จากญาติๆเมียของเจ้าชาง ในจำนวนนั้น หลายคน เจ้าชาง เคยพาไปบ้านผมที่ภูเก็ต และได้รับความประทับใจจากทะเล สายลม แสงแดด แหม่มแก้ผ้า บนชายหาดป่าตองมาแล้ว บางคนยังเล่าประสบการณ์ครั้งนั้นสู่กันฟังไม่จบสิ้น
บ้านเจ้า ชาง ซาไก

ทักทาย พูดคุย ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ จนเวลาผ่านไปพอสมควร เจ้าชาง จึงได้พาผมไปที่ร้านบ้านซาไก ของเขา ที่อำเภอมัญจาคีรี ซึ่งห่างออกไปประมาณ 6 กิโลเมตร บนถนนสาย ชนบท-ขอนแก่น เพื่อวางแผน เตรียมการณ์รับมือกับคอนเสิร์ต มาลีฮวนน่า ในคืนวันรุ่งขึ้น..

เรา(หมายถึงผม,เจ้าชาง,เมียและลูกสาวอายุ 3 ขวบ ของเขา) ไปถึงที่ร้าน ประมาณ 10 โมงเช้า (เจ้าชาง เปิดให้บริการมาประมาณเดือนเศษ) ตั้งอยู่ริมถนนสาย มัญจาคีรี-ขอนแก่น เลยสามแยก มัญจาคีรี-ชัยภูมิ ไปทางขอนแก่น ประมาณ ครึ่งกิโลเมตร ติดกับร้านขายไม้ดอก ไม้ประดับและอุปการณ์ตกแต่งสวนหย่อมต่างๆ มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร โครงสร้างและเสาทำด้วยไม้ เปิดโล่งๆ โต๊ะ เก้าอี้ ทำด้วยไม้ มีเวทีดนตรีเล็กๆอยู่ภายใต้หลังคา ส่วนลานภายนอกหลังคา จัดวางชุดโต๊ะเก้าอี้ปูน ออกแบบเป็นคล้ายๆ ลวดลายของต้นไม้ ทาสี เขียว น้ำเงิน รวมโต๊ะทั้งภายใต้หลังคาและลานภายนอก 20 กว่าชุด ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ มองในภาพรวม การจัดร้านไม่หรูหรา แต่บรรยากาศคลาสสิค น่านั่งกินเหล้าพอสมควร พอเหมาะพอสมกับอำเภอเล็กๆ ซึ่งห่างจากตัวจังหวัดออกมาเกือบ 100 กิโลเมตร
ร้านอาหาร บ้านซาไก อำเภอมัญจาคีรี

สำหรับงานคอนเสิร์ต เจ้าชาง ทำโต๊ะจองไว้ 50 โต๊ะ(ต้องเช่ามาเพิ่มจำนวนหนึ่ง) แต่ละโต๊ะมี 6 ที่นั่ง เปิดให้จองราคาโต๊ะล่ะ 1,500 บาท โดยรวมเหล้า 1 ขวด โซดา 3 ขวด น้ำดื่ม 1 ขวดและน้ำแข็ง 1 ถัง ถ้าลูกค้าสั่งนอกเหนือจากนั้น ก็เขียนบิล ตามราคาขายปกติของร้าน นับว่าเป็นการขายที่ไม่สูงเกินไป สำหรับการดูคอนเสิร์ต วงดนตรีเพื่อชีวิต ที่จัดอยู่ในระดับชั้นแนวหน้า วงหนึ่งของเมืองไทย

เราปรึกษาหารือวางแผนเรื่องการจัดการ การขยายพื้นที่ให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด การจัดวางแนวโต๊ะ การจัดวางอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็น ในที่ ที่เหมาะสม

ช่วงเวลานั้นจะมี ทีมงานเครื่องเสียงและรถแห่สปอร์ตโฆษณา แวะเวียนเข้ามาจอดพัก กินน้ำกินท่า ดูเป็นที่ครึกครื้นดีเหมือนกัน
รถแห่สปอร์ตโฆษณา คอนเสิร์ตมาลีฮวนน่า
 หลังอาหารเช้า+เที่ยง (ที่เมียเจ้าชาง ไปหาซื้อสำเร็จรูป มาจากตลาดมัญจาคีรี) เราเริ่ม เคลื่อนย้าย กระถางต้นไม้ กระถางน้ำพุและสิ่งของ เครื่องใช้ที่มีน้ำหนักมากๆก่อน โดยมีคนงานที่ร้านขายต้นไม้มาช่วยเคลื่อนย้าย

กระทั่ง ประมาณ 4 โมงเย็น พวกเรากลับไปที่บ้านเจ้าชาง เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และกลับมาที่ร้านบ้านซาไกอีกครั้ง พร้อมกับกุ๊กและผู้ช่วยกุ๊ก(แม่ยายกับญาติแม่ยายเจ้าชาง) เพื่อเปิดร้านให้บริการลูกค้าตามปกติ เวลา 6 โมงเย็น

บรรยากาศตอนเย็น
 ประมาณ 6 โมงครึ่ง เจ้าชาง พาผมไปซื้อเหล้า เบียร์ ที่ร้านขายของชำประเภทขายส่ง ในตลาดมัญจาคีรี ผมได้เจอกับฝรั่งคนหนึ่ง นั่งกินเบียร์ช้างกระป๋อง อยู่บนม้าหินอ่อนหน้าร้าน ผมแถเข้าไปเสวนาทันที ตามประสาคนที่เห็นฝรั่งเป็นไม่ได้

“ฮัลโหล!” ผมทักทายเป็นภาษาอังกฤษ

“ซาหวัดดีคราบบ..สิบ๊ายดีบ่อ?” ฉิบหาย!..พวกตอบผมเป็นภาษาอีสานหน้าตาเฉย

“สบายดีครับ ขอบคุณ” ผมตอบเป็นภาษาไทยมั่ง พร้อมกับยิ้มให้ แบบแหยๆ ด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้

ต่อจากนั้น เขาก็เชิญให้ผมนั่ง และชวนกินเบียร์กับเขา แต่คราวนี้เป็นภาษาอังกฤษครับ ท่านผู้ชม

เออ..ค่อยโล่งอก ภาษาอังกฤษผมพอไปได้ แต่ภาษาอีสานสำเนียงฝรั่ง ผมจนด้วยดอลล่าจริงๆ ที่จะทำความเข้าใจ

ผมบอกขอบคุณและนั่งลง (แต่ไม่กินเบียร์ของเขา ) แนะนำตัวเองว่าเป็นใคร มาจากไหนและมาทำอะไรที่นี่.

ส่วนเขาบอกผมว่า “ชื่อไมค์ เป็นคนอังกฤษ มามีเมียเป็นคน อำเภอมัญจาคีรีนี่แหละ 10 กว่าปีแล้ว เมื่อก่อนก็เที่ยวตระเวนตามหมู่บ้านชาวเขาแถวเชียงใหม่ เชียงรายโน่น”

ผมถามว่า “เคยไปภูเก็ตหรือไม่?”

เจ้าไมค์ บอกว่า”ไม่เคยไปและไม่คิดอยากจะไป เพราะไม่ชอบทะเลและไม่ชอบแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมากๆ”

เราคุยกันหลายเรื่อง จนถูกคอกันเป็นอย่างดี ผมจึงชักชวนว่า คืนพรุ่งนี้ ไปดูคอนเสิร์ตที่ร้านบ้านซาไกสิ ผมจะให้สิทธิ์เขาเป็นพิเศษ (ผมเริ่มทำตัวใหญ่กว่าเจ้าของร้าน)โดยไม่ต้องจองโต๊ะ ที่ทางร้านเปิดให้จองโต๊ะละ 1,500 บาท

“ยูชัวร์?” เขาถามผมกลับมา แบบไม่ค่อยเชื่อถือ

“ชัวร์ เพื่อน” ผมยืนยันหนักแน่น พร้อมกับส่งมือให้เขาจับ

“โอ เค. ไอจะพาเมียกับแม่ยายไปด้วย” เขาตอบรับ

“ด้วยความยินดี แล้วพบกันคืนพรุ่งนี้นะ” ผมบอกก่อนจะขอตัวลุกเดินไปขึ้นรถเจ้าชาง ที่รออยู่ กลับร้านซาไก

เจ้าไมค์ เพื่อนฝรั่ง พบกันที่ร้านขายของชำ
 เรามาถึงร้านซาไก อีกไม่กี่นาทีต่อมา ขณะที่เรากลับมาถึง ครอบครัวเจ้าชาง และพนักงานเสิร์ฟ กำลังกินอาหารค่ำกันอยู่ เจ้าชาง เข้าไปร่วมวง ส่วนผมบอกพวกเขาว่ายังไม่หิวข้าว แต่อยากกินเหล้า แฮ่ แฮ่..

คืนนี้ อากาศร้อนอบอ้าว ลมไม่พัดเลย เจ้าชาง บ่นกังวลกลัวว่าฝนจะตก ซึ่งขณะนั้นภายในร้านมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแล้ว 2 โต๊ะ ถ้าหากว่าฝนเกิดตกขึ้นมาตอนนี้ ก็คงจะมีลูกค้าแค่เพียง 2 โต๊ะนั่น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับเจ้าของร้าน

บรรยากาศ ร้านซาไก
 ถึงแม้ว่า อากาศจะอบอ้าว แต่บรรยากาศของร้านซาไก ก็ยังน่ากินเหล้าไม่เบา ผมจึงไม่รอช้า บริการตัวเอง จัดหาเหล้า โซดา น้ำแข็ง แก้ว แล้วยึดเอาโต๊ะตรงมุมที่เหมาะสม นั่งละเลียดมองบรรยากาศของร้าน โดยมีผัดเผ็ดหมูป่าและยำแหนมสด ที่แม่ยายเจ้าชาง จัดมาให้เป็นกับแกล้ม

ประมาณ 2 ทุ่ม นักดนตรี 3 คน ที่เล่นประจำในร้านก็ทยอยกันมา เจ้าชาง แนะนำให้เข้ามารู้จักกับผม บอกว่าชื่อพี่สาม เป็นพี่ชายมาจากภูเก็ต จะมาช่วยงานคอนเสิร์ต พวกนั้นทำคารวะ ผมจึงชวนทั้ง 3 คนให้นั่งคุยด้วยกัน
เจ้าเอ็ม นักดนตรีร้านซาไก
 นักดนตรีคนหนึ่งชื่อเอ็ม ดูจะเด็กกว่าใคร ผมคะเนอายุ คงจะซัก 20 กว่าๆ เจ้าเอ็มสนใจผมมากเป็นพิเศษ ชวนพูดคุย ซักถามเกี่ยวกับภูเก็ต หลายแง่ หลายมุม และบอกผมว่ามีความใฝ่ฝันจะได้ไปเห็นทะเลภูเก็ตสักครั้งในชีวิต ผมจึงบอกว่า ถ้ายังทำงานอยู่กับเจ้าชาง อีกไม่นานก็คงได้ไป
หัวค่ำเล่นเพลงเพื่อชีวิต
 2 ทุ่มครึ่ง นักดนตรีทั้ง 3 คน ขอตัวขึ้นเวที ส่วนผมกินเหล้าฟังพวกเขาเล่นเพลงเพื่อชีวิต โดยมีสาวเสิร์ฟคนหนึ่งของเจ้าชาง มาชงเหล้าให้ รู้สึกครึ้มๆ ดีเหมือนกัน อิอิ..

เด็กเสิร์ฟ ที่ร้านซาไก

พนักงานเสิร์ฟ ร้านซาไกเขาหละ
 ผมนั่งละเลียดเหล้า ฟังเพลงเพลินๆ สักพัก เจ้าฝรั่งไมค์ ที่เจอกันตรงร้านขายของชำเมื่อตอนหัวค่ำ เดินเข้ามาในร้าน พร้อมกับหิ้วถุงก๊อบแก๊บ ที่มีเบียร์ช้างกระป๋องอยู่ในถุงหลายกระป๋องเข้ามาด้วย

ผมคิดในใจ ไอ้หมอนี่ ปรับตัวเป็นชาวบ้านพื้นเมืองได้กลมกลืนดีแท้ เข้ามาในร้านอาหาร แต่ดันหิ้วเบียร์มาจากข้างนอก ไม่ยอมมาสั่งในร้าน เพราะว่าราคาสูงกว่าหลายบาท.. แม่ง..น่าถีบจริงๆ บักห่านี่..

หมอพูดกับพนักงานเสิร์ฟผู้หญิง ที่เดินออกไปต้อนรับ แล้วชี้มาทางผมซึ่งกำลังเดินออกไปหาพอดี ผมทักทายแบบนึกไม่ถึงว่าหมอจะมาในตอนนี้ แต่ก็เชิญให้นั่ง หมอเลือกนั่งโต๊ะหน้าเวที พร้อมกับส่งถุงใส่เบียร์ให้พนักงานเสิร์ฟ พร้อมกับพูดว่า เปิดให้เขาหนึ่งกระป๋อง ที่เหลือฝากแช่ในตู้แช่ก่อน ค่อยทยอยเอาออกมา พนักงานเสิร์ฟยืนหิ้วถุงเบียร์ ทำหน้าเหรอ เพราะฟังไม่เข้าใจ ผมจึงต้องแปลให้ฟัง

แต่เมื่อ พนักงานเข้าใจความต้องการของฝรั่งเท่านั้น ผมได้ยินเสียงบ่นเป็นภาษาอีสานพื้นเมืองว่า “ฮ่วย!บักห่านี่ สีแม่มัน..บ่อเคยได้เงินจากมันจั๊กเทื่อ” แปลว่าอะไรผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อิ อิ..

เป็นอันว่า ผมต้องย้ายที่นั่งจากโต๊ะเดิม มานั่งคุยกับเพื่อนฝรั่ง ที่โต๊ะหน้าเวที ซึ่งจะต้องแหกปากพูดแข่งกับเสียงดนตรีบนเวที

ผมกับเจ้าไมค์ พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ตั้งแต่เรื่องดนตรี เรื่องวิถีชีวิตของคนอีสาน เรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง อาหารการกิน.. หมอ ยอเมียตัวเองว่าทำอาหารไทยอร่อย โดยเฉพาะต้มยำกุ้ง แถมโม้ให้ผมฟังอีกว่า เคยพาเมียไปบ้านมันที่ประเทศอังกฤษ เมียทำอาหารไทยให้พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงของมันกินมาแล้ว ทุกคนยอมรับว่าเมียมันทำอาหารไทยอร่อยมาก

ผมดักคอว่า “เมียยู ทำส้มตำปลาร้าอร่อยมั๊ย?”

“โน!.ไอ ไม่ชอบปลาร้า” เจ้าไมค์ รีบตอบปฏิเสธผม

อ้าว..มีเมียอีสาน แต่ไม่กินปลาร้า มึงก็ไม่แน่จริงนี่หว่า ผมแค่คิด..

เจ้าไมค์ ปิดท้ายด้วยการชวนผมให้ไปบ้านมันในวันรุ่งขึ้น เพื่อจะได้ชิมอาหารจากฝีมือของเมียมัน ผมไม่ปฏิเสธ แต่บอกว่า พรุ่งนี้ผมคงไม่ว่างต้องเตรียมงานสำหรับคอนเสิร์ต จะหาเวลาไปวันหลัง เจ้าไมค์ บอกว่ายินดีต้อนรับผม ทุกเวลา

นั่งดวลกันไป โม้กันไป เจ้าไมค์ นึกครึ้มขึ้นมา บอกผมว่า “จะขอขึ้นไปร้องเพลงได้หรือเปล่า?”

ผมบอกว่า “ได้ เดี๋ยวจัดให้ แต่ ยูร้องเพลงเป็นด้วยรึ?” ผมถามเจ้าไมค์ อย่างไม่แน่ใจ เพราะผมรู้สึกว่า ไอ้ฝรั่งคนนี้ มันน่าจะแค่พูดได้อย่างเดียว!. แต่พอขึ้นบนเวที กลับผิดคาด หมอร้องเพลงได้และร้องได้ดีซะด้วย ลูกค้าในร้านปรบมือให้ทุกคน
เพื่อนไมค์ของผม ร้องเพลงเสร็จ แอ๊คชั่นถ่ายรูปกับนักดนตรีอีกต่างหาก
 จนกระทั่งเกือบ 5 ทุ่ม ช่วงนั้นลูกค้าทยอยเข้ามาหลายโต๊ะ เจ้าไมค์ กระดกเบียร์หมดกระป๋องที่ 6 ซึ่งเป็นกระป๋องสุดท้ายที่หมอหิ้วมา จึงขอตัวกลับ ผมเดินออกไปส่งที่หน้าร้าน ตอนแรกผมเข้าใจว่าหมอขับรถยนต์มา แต่ผิดถนัด หมอเดินไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซต์เก่าๆ คันหนึ่ง ซึ่งเก่าจริงๆ เก่าขนาดว่ากระจกส่องหลังไม่มีและเมื่อเจ้าไมค์ สตาร์ทเครื่องยนต์ ไฟท้ายก็ไม่เห็นมี เมื่อไฟท้ายไม่มี แล้วไฟเลี้ยวจะมีได้ยังไง?.. เมื่อไฟเลี้ยวก็ไม่มี จึงอย่าหวังว่าหมวกกันน๊อคจะมี?!..อีกทั้งใบขับขี่ของไอ้เจ้าไมค์ ต้นมันเป็นยังไงหละทีนี้ !?...และผมยังสงสัยอยู่ว่า เบรกรถของมันมีหรือเปล่า???....

“เฮ้..ไมค์ ขับดีๆ นะเพื่อน” ผมพูดเตือนด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิ์ภาพของมัน เพราะเท่าที่ผมสังเกต จะมีรถพ่วง 18 ล้อ 22 ล้อ วิ่งไปมา บนถนนสายนี้จำนวนมาก

“ด๊อน..วอรี่ ขอบใจเพื่อน..ไม่ต้องห่วง กูขับทุกคืน บ้านอยู่ห่างไม่ถึง 2 กิโลฯ” เออ..เอากะมันสิ..

ผมเชื่อสนิทใจเลยว่า ฝรั่งปรับตัวเข้ากับสังคมพื้นเมืองและสิ่งแวดล้อมได้ดี..ผมเคยเห็นฝรั่งอยู่บ้านเมียคนไทย นุ่งกางเกงขาสั้นใส่เสื้อกล้าม ขับรถพ่วงข้าง ย้อนศรหน้าตาเฉย ..ประเทศไทย เป็นประชาธิปไตย ใครทำอะไรก็ได้จริงๆ...ฮ้า ฮ้า ฮ้า...

บรรยากาศบนเวที เจ้าชาง เล่นเพลงสากล
 เมื่อเจ้าไมค์ ไปแล้ว ผมกลับมานั่งกินเหล้าต่อ ช่วงนั้น เจ้าชาง กำลังเล่นดนตรีอยู่บนเวที เน้นไปทางเพลงสากลเก่าๆ จากการขอของลูกค้า และมีบางคนลุกขึ้นเต้นด้วย ก็น่าเห็นใจ เพราะอำเภอเล็กๆ ห่างไกลจากตัวจังหวัดมากพอสมควร พวกเขามีโอกาสน้อยที่จะได้ฟังเพลงสากลจากการเล่นสดบนเวที เมื่อมีร้านอาหารที่มีมีดนตรีเล่นเพลงสากลที่เขาชอบเกิดขึ้นใกล้ๆบ้าน ก็ต้องปลดปล่อยกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ว่ากันไม่ได้ แถมแขกผู้มีเกียร์ติบางคนขึ้นไปแจมบนเวที นักดนตรี ไม่ขัดข้อง จัดไปตามความพอใจ แขกบางคนเสียงดีร้องเพลงฟังได้ดี บางคนเสียงไม่ดีไม่เจียมตัวขึ้นไปร้อง ทำเอาเพลงที่เขาแต่งมาดีๆเละเป็นขี้ก็มี บางคนเมาคลานขึ้นเวที ตาลายตกลงมากลิ้งอยู่หน้าเวทีก็มี สารพัดรูปแบบมีให้เห็นในร้านขายเหล้า
ลูกค้าขึ้นไปแจมร้องเพลง
 ช่วงดนตรีเบรก ผมชวนนักดนตรีมานั่งกินเหล้ากับผม ไม่มีใครปฏิเสธ ธรรมชาติของนักดนตรีเกือบทุกคน(ยกเว้นเจ้าชาง) ไม่กินเหล้าก็กินเบียร์ โดยเฉพาะเจ้าเอ็ม ซึ่งถูกชะตากับผมมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่แรกเจอหมอหาแก้วมาบริการตัวเองทันที ไม่ต้องให้ชวนซ้ำสอง เจ้านี่นั่งดวลกับผมจนถึงเวลาขึ้นเวทีอีกรอบ

ตีหนึ่ง ลูกค้าเช็คบิล จนเหลือโต๊ะสุดท้าย 2 คนที่ยังติดลม นักดนตรีลงจากเวที เจ้าชางปิดไฟเวทีมืด แบบว่าไล่แขกนั่นแหละ พวกจึงได้เช็คบิล งึกๆงักๆ กอดคอกันเดินออกจากร้าน

เจ้าเอ็ม มานั่งกรึ๊บกับผมต่อ นักดนตรี 2 คนกลับ เด็กเสิร์ฟกลับ เจ้าชางกับครอบครัวเตรียมตัวกลับ ซึ่งผมจะต้องกลับด้วย แต่เจ้าเอ็ม ติดลมบน บอกกับเจ้าชาง ว่า “เฮียกลับไปก่อน ผมขอนั่งคุยกับลุงสามต่อ แล้วผมจะไปส่งที่บ้านทีหลัง” เจ้าชางจึงกลับไป

เป็นอันว่าผมกับเจ้าเอ็ม ติดลม ดวลกันต่อ จนตี 4 เหล้าหมดไปขวดครึ่ง ผมจึงได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ เจ้าเอ็ม กลับไปบ้านเจ้าชาง โดยมีเหล้าที่เหลืออีกครึ่งขวดติดมือไปด้วย

คืนแรกของผม ที่ร้านบ้านซาไก ผมไม่ได้กินข้าวมื้อค่ำครับพี่น้อง เฮ่อะ..เฮ่อะ..


รอติดตามตอน...คอนเสิร์ตมาลีฮวนน่าที่ร้านซาไก(ชำนาญ ณ.อันดามัน ออนทัวร์อีสาน/ตอน3)
ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ติดตามอ่านเรื่องเล่าของ ชำนาญ ณ.อันดามัน

------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน