วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เชี่ยวหลาน(ทริปคนไทยหัวใจเรื่อยเปื่อย)คณะจากซูการ์ปาล์มหาดกะรน


“ฝรั่งต้องเร็ว คนไทยต้องรอ” เป็นคาถาที่ไกด์มืออาชีพต้องท่องให้ขึ้นใจ เมื่อต้องพากรุ๊ปทัวร์คนไทยออกทริป และไม่มียกเว้น ไม่ว่าจะเป็นลูกทัวร์หนุ่มสาว วัยรุ่นแรกแย้มหรือรุ่นแย้มฝาโลง โดยเฉพาะที่เรียกกันว่าผู้หลักบัก(ไม่)ใหญ่ มีหน้าที่การงานตำแหน่งสูงๆ รวมถึงพวกคุณหญิง คุณนายไฮโซ ไฮซ้อ อ้อร้อ ทั้งหลายนั่นแหละ ตัวดีนัก ช้าไม่พอ เรื่องมากอีกต่างหาก เจอเข้าแต่ละกรุ๊ป ไกด์แทบอ๊วก
                ชำนาญ ณ.อันดามัน จะเล่าให้ฟัง..มีเพื่อนรุ่นน้องของชำนาญ ณ.อันดามัน ทำงานเป็นเชฟกุ๊กอยู่ที่ร้านอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง แถวๆหาดกะรน มีแผนจัดทริปทัวร์ พาลูกน้องของมันในที่ทำงาน ประมาณ 15 คน ไป(ฟัน)เที่ยวและพักค้างคืนที่เขื่อนเชี่ยวหลาน 1 คืนโดยการขับรถไปกันเอง  จึงขอร้องแกมบังคับ ให้ผมช่วยเป็นไกด์(หามฆ้องให้มันตี) รวมทั้งช่วยจองแพที่พัก จองเรือ ที่จะพาคณะจากฝั่งท่าเรือเขื่อนไปยังแพที่พัก ซึ่งทุกอย่างไม่มีการวางเงินมัดจำ เป็นการจองปากเปล่า ใช้เครดิตล้วนๆ ว่างั้นเถอะ(เพราะผมมีเพื่อนเป็นนายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพ) ถ้าพวกยกเลิกโปรแกรม  ไกด์ชำมะนาญ ก็หน้าแหกยับเยินหมอไม่รับเย็บตามธรรมเนียม
                ผมจำใจ จำเป็นและจำยอม รับงานนี้ เมื่อเพื่อนมันบอกว่าลูกน้องของมัน มีสาวๆ สวยๆ เพียบ ฮ้า ฮ้า ฮ้า..มันเอาของชอบมาล่อ อิอิ..
ตามโปรแกรม ที่เพื่อนของผม (บังคับ)ให้ผมจัดตามใจของมัน คือออกจากภูเก็ต 7 โมงเช้า ลงเรือที่เขื่อนเชี่ยวหลาน 11 โมง กินอาหารเที่ยงบนแพที่พัก หลังจากนั้น ไปชมถ้ำปะการัง กลับมาที่แพ พักค้างคืน วันรุ่งขึ้นหลังอาหารเช้า เช็คเอ๊าท์ นั่งเรือไปชมกุ้ยหลินแล้วกลับท่าเรือเขื่อน เป็นอันจบทริป
รวบรัด ตัดตอน เอาเมื่อถึงวันเดินทาง เวลา  6โมงครึ่ง(ตอนเช้านะครับ) ไอ้เพื่อนขับรถมารับผมที่บ้าน แล้วพาไปหาดกะรน เพื่อรับลูกน้องของมัน 15 คน ตามที่นัดกันไว้
เราไปถึงที่นัดหมาย 7 โมงตรง ตามเวลานัด ปรากฏว่า มีลูกน้องสาวของมัน ยืนตูดงอนสูบบุหรี่ควันโขมงอยู่คนเดียว ..ผมนึกแล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้..ผมเริ่มท่องคาถา “ฝรั่งต้องเร็ว คนไทยต้องรอ”
7 โมงครึ่ง ผ่านไปไวเหมือนตอแหล ..ลูกทัวร์ทยอยมาอีก 3 คนรวมเป็น 4 คน หัวหน้ากรุ๊ปเพื่อนผม พยายามโทรหาลูกทัวร์คนอื่นๆ ที่เหลือ  กลับได้ยินเสียง ไพเราะ เพราะพริ้งบาดหัวใจ พูดออกมาว่า “ขออภัยค่ะ..หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”...อิอิ.. มันจึงตัดสินใจ(ซึ่งน่าจะทำตั้งนานแล้ว)ขับรถออกไปตาม โดยปล่อยให้ผมอยู่กับลูกน้อง(ตูดงอน)ของมันที่นั่น..
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา มันขับรถกลับมาคนเดียวเท่ากับตอนขับออกไป แต่หน้าตาเปลี่ยนเป็นยับยู่ยี้ เหมือนคนงานก่อสร้างชาวพม่าโดนตำรวจภูเก็ตจับ ข้อหาหลบหนีเข้าเมือง!.
มันจอดรถ ไม่ดับเครื่อง ลงมาพูดกับผมว่า “เมื่อคืนพวกนั้นเมากันหนัก ปลุกไม่ยอมตื่น ทิ้งแม่งเลย”  เออ..ถ้ามึงไม่ทิ้งมัน กูก็ไม่ไปกับมึงแล้ว..ผมพูดในใจ
ต่อจากนั้น มันบอกให้ทุกคนขึ้นรถ แล้วออกรถด้วยอารมณ์เหม็นเปรี้ยวเหมือนขนมจีนค้างคืน ขนาดว่าล้อหลังหมุนฟรี ผมนับได้คร่าวๆ 77 รอบ เพื่อรีบไปรับคนอื่นๆ ที่รอกระจัด กระจาย เหมือนเห็ดโดนฝน อยู่กลางทางอีกไม่รู้จำนวนที่แน่นอน โดยคนสุดท้าย เป็นผู้ชายขับรถมารออยู่ที่อนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตรีย์ ท้าวศรีสุนทร เพื่อจัดการแบ่งถ่ายลูกทัวร์แยกกันนั่งทั้ง 2 คัน
เมื่อรับมาได้ครบ ทริปนี้ ไกด์ชำมะนาญ มีลูกทัวร์ แค่ 10 คน จากการจอง 16 คน เป็นเพื่อนผม 1 คน เป็นเด็กหนุ่มๆ อายุ 20 ต้นๆ 5 คน เป็นผู้หญิงขนาดกินได้ทั้งเปลือก 4 คน ซึ่งรูปร่าง หน้าตา แต่ละนาง ชวนให้ติดคุกซัก 7 วัน(หลังจากวันที่7 ประหาร)
ก่อนออกรถ ผมแนะนำกับเพื่อนให้บอกลูกทัวร์ของมัน ว่าเราต้องเปลี่ยนแผนจากการกินอาหารเที่ยงที่แพในเขื่อน เป็นต้องหาอะไรกินกันกลางทาง เพราะว่าเราไปไม่ทันตามกำหนดเวลาซะแล้ว ด้วยความเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะของลูกทัวร์...มันทำตามที่ผมบอก จัดการแจ้งข่าวร้ายกับบางคนและเป็นข่าวดีกับบางคน ต่อลูกทัวร์ตามที่ผมแนะนำ โดยไม่มีใครทักท้วงแต่อย่างใด
ประมาณ 9 โมงเศษ จึงได้เริ่มออกเดินทางกันอย่างจริงจัง ขณะรถเริ่มวิ่งออกมา ผมโทรไปที่เรือแจ้งการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมจากกำหนดการเดิมทั้งหมด เป็นโปรแกรมเรื่อยเปื่อยแทน ทางโน้นหัวเราะกลับมาตามสายอย่างเข้าใจสถานการณ์ สำหรับรายการอาหารเที่ยงที่แพ ผมไม่ได้แจ้ง เพราะที่โน่นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
ประมาณ 10 โมงครึ่ง ผมให้หยุดกินข้าวราดแกงกันที่สี่แยกบ้านนาเหนือ เขตอำเภอทับปุด จังหวัดพังงา ต่อจากนั้นหยุดอีกครั้งที่ตลาดบ้านตาขุน เพื่อซื้อกล่องโฟมและเสบียงกรังประกอบการแสดงในแพที่พัก เช่นเหล้า โซดา เบียร์ น้ำแข็ง บุหรี่ โดยผมแนะนำให้ทุกคนหาซื้อขนมขบเคี้ยว ประเภทสเน็คบาร์ ตุนไปเยอะๆ เพราะที่แพพักในเขื่อนไม่มีขายหรือถ้ามี ราคาเอา 3 คูณ อีกทั้งอาหารต่างๆเขาก็ไม่ทำขาย มีเฉพาะอาหารเซทตามเวลาเท่านั้น..แต่เท่าที่สังเกต ไม่มีใครเชื่อผม!..ไม่เชื่อก็แล้วกัน...

แวะกินข้าวกลางทาง
“ทริปคนไทย หัวใจเรื่อยเปื่อย” ของผมเสียเวลาอยู่ที่จุดนั้นอีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง  กว่าจะได้เคลื่อนขบวนถึงเขื่อนเชี่ยวหลานก็เกือบบ่ายโมง
หลังจากจอดรถเป็นที่เรียบร้อย ต่างช่วยกันลำเลียงเสบียง(เสริมสร้างความเมา)ไปกองไว้ที่ท่าเรือด้วยความทุลักทุเล เพราะมีจำนวนมากพอจะเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน
บ่ายโมงตรง  เรือหางยาวลำที่จองไว้แล่นน้ำบานเข้ามาทีท่า อีกไม่เกิน 20 เมตรจะเทียบท่าที่พวกเรารอกันอยู่..เจ้ากรรม นายเวร..ใบพัดเรือหางยาวลำนั้น เกิดอภินิหาร อันตรธานจ๋อม ลงน้ำไปต่อหน้าต่อตาพวกเรา  เหลือแค่หางหมุนฟรี ชี้โด่เด่...ไอ้ฉิบหาย!..ลางไม่ดีซะแล้ว...
โห...นี่ถ้ามันเกิดหลุดตอนที่เรือกำลังแล่นอยู่กลางๆเขื่อน แล้วจะทำกันยังไงกันวะ เนี๊ยะ!?....ผมรู้สึกเสียววาบๆ ที่ดาก...
พวกเราจึงต้องเสียเวลาอีกประมาณ 20 นาที รอให้เขาไปหาใบพัดเรืออันใหม่มาเปลี่ยน
ช่วงที่รอเขาเปลี่ยนใบพัดเรือ ผมบอกลูกทัวร์ว่า ถ้าใครจะบอกสั่งลาหรือจะสั่งเสียอะไรกับใครให้โทรบอกซะตั้งแต่ตอนนี้ เสร็จแล้วปิดเครื่องเก็บเข้าคลังได้เลย เพราะในเขื่อนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ว่ายี่ห้ออะไร ราคากี่หมื่นก็โทรไม่ได้
พอจบคำพูดของผมเท่านั้นแหละท่านผู้ชม ทุกคน ทุกกิจกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ หยุดชะงักกึก ..ต่อจากนั้น มีเสียง ตู๊ดๆ ติ๊ดๆ ต๊อดๆ ดังระงมขึ้นมาแทน..ผมหันหน้าไปทางอื่นทำเป็นไม่สนใจ แต่หูกางใบรับลมเต็มที่ ใครมีเมีย ใครมีผัว ใครมีกิ๊ก (ใครมีชู้ อันนี้กลอนพาไป) ผมได้ยินหมด แบบว่าไม่ได้ตั้งใจ อิอิ..

ขณะรอเรือ บนท่าเรือเขื่อนเชี่ยวหลาน
เมื่อนายท้ายใส่ใบพัดเรือเสร็จ พร้อมกับการทยอยลำเลียง เสบียงกรังลงเรือเป็นที่เรียบร้อย ผมบอกให้ทุกคนใส่เสื้อชูชีพ หลายคนไม่สนใจ ทำอวดดี ถือตัวว่าข้าฯมาจากทะเลภูเก็ตนะโว้ย ข้าฯไม่กลัวน้ำหรอก!..อะไรประมาณนั้น ผมชักหมั่นไส้ จึงต้องพูดขู่ว่าถ้าใครไม่ใส่ชูชีพ เจ้าท่าเขาจะจับเอานะ..นั่นแหละจึงได้จำใจใส่กันแบบขัดไม่ได้ เหมือนพวกหน้ามืดกลัวติดเอด..
พี่ไทยเราไม่เหมือนฝรั่งก็ตรงที่ไม่เคารพกฎ กติกา มารยาทนี่แหละ!..สิ่งที่ห้ามชอบฝืน สิ่งที่บอกให้ทำชอบเลี่ยง..ถ้าเป็นลูกทัวร์ฝรั่ง ก่อนลงเรือจะเรียกหาเสื้อชูชีพทันที ไม่มีรึ?..พวกโวย..จนไกด์จัดให้แทบไม่ทัน..เอากะมันสิ.

เริ่มออกเดินทางสู่กุ้ยหลินเมืองไทย
กระทั่งเกือบบ่าย 2 โมง เรือจึงได้ฤกษ์ แล่นออกจากท่าอย่างสง่าผ่าเผย แต่ผมไม่สง่าเลย เริ่มท่องคาถาหลวงปู่ทวด อาราธนาให้ท่านมาช่วยยึดใบพัดเรืออย่าไปหลุดที่กลางเขื่อน
ผมเปลี่ยนโปรแกรมอีกตามความเหมาะสม โดยบอกให้คนขับเรือ พาเราไปที่บริเวณกุ้ยหลินก่อน แล้วจึงค่อยวกกลับไปแพที่พัก เพราะผมคำนวณแล้วว่า ถ้าเป็นพรุ่งนี้ ต้องมีปัญหากับเวลาแน่ๆ
ประมาณ 45 นาที เรือพาเราไปถึงบริเวณ กุ้ยหลินเมืองไทย ทุกคนตื่นเต้นกันมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกของพวกเขา และบ่ายวันนี้ อากาศครึ้มๆเมฆฝน ไม่มีแดด วิวที่ กุ้ยหลินจึงสวยไปอีกแบบ ต่างจากตอนเช้า ที่มีหมอกปกคลุมอยู่ทั่วไป

กุ้ยหลินตอนเที่ยงวัน บรรยากาศมัวๆ
หลังจากถ่ายภาพและชื่นชมความงดงามกันพอสมควร เรือจึงแล่นออกมา บ่ายหน้าไปยังแพที่พักซึ่งอยู่อีกด้านของบริเวณกุ้ยหลิน ขณะนั้นฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ ลมพัดแรง ทำให้ละอองฝนผสมกับละอองน้ำจากทางหัวเรือกระเซ็นขึ้นมาโดนคนที่นั่งอยู่ทางกราบซ้าย ต่างพากันขยับไปทางกราบขวาพร้อมๆกัน เพื่อหลบความเปียก จนเรือเอียงวูบ เกือบล่ม ทำเอาระทึก!... คนขับต้องเบาเครื่องแล้วบอกให้ทุกคนนั่งถ่วงเท่าๆกัน ถ้าไม่อยากลงไปลอยคอในน้ำ นั่นแหละ.. ความระทึกจึงหายไป เรือแล่นต่อ...
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เรือเทียบที่หน้าแพที่พัก ลูกทัวร์ทยอยขนสัมภาระขึ้นจากเรือ เข้าไปเก็บที่ห้องพัก ซึ่งทางแพจัดไว้ให้ 5 หลัง กำหนดให้หลังล่ะ 4 คน ตามที่จองไว้ แต่เรามากันแค่ 10 คน +1 ไกด์ จึงจับคู่พักกันหลวมๆ สบายๆ..ส่วนไกด์ ต้องรอด้วยใจระทึกว่าจะมีใครชวนนอนด้วย อิอิ..

แพเพลินไพร ยามเย็น

ห้องพัก 5 หลังเป็นของกรุ๊ปเรา สุดทางเดินเป็นห้องน้ำ ส้วม อาบน้ำ

ศาลาหลังแรกที่เห็น เป็นที่สังสรรค์เสวนาของกรุ๊ปเราโดยเฉพาะ

เมื่อทุกอย่างลงตัว กิจกรรมต่างๆก็เกิดขึ้น บางคนลงเล่นน้ำ พายเรือแคนู และตกปลาบริเวณหน้าห้องพัก ที่เหลือเริ่มตั้งวงสนทนา เหล้าบ้าง เบียร์บ้าง สปายบ้าง ตามอัธยาศัย เป็นอุปกรณ์ประกอบการสนทนา
ผู้หญิงทั้ง 4 คนในกลุ่ม เก่งทุกคน ส่วนคนที่สูบบุหรี่เก่งๆคนนั้น พ่นควันโขมงแข่งกับผม เธอมีรอยสักเต็มแผ่นหลัง ทั้งลวดลายศิลปะและภาษาจีนสามตัวใหญ่ๆที่ต้นคอ แต่ผมไม่กล้าถามว่าแปลว่าอะไร กลัวเธอจะเสกหนังควายเข้าพุง ฮ้า ฮ้า ฮ้า..

กิจกรรมเริ่มต้นทันที หลังการเข้าเช็คอิน
ประมาณ 5 โมงเย็น เมื่อหมดเบียร์ไปหลายกระป๋อง ผู้หญิงบางคนเริ่มบ่นหิว ผมบอกว่า อาหารค่ำเริ่มที่ 6 โมงเย็น ถ้าทนไม่ไหว ให้ไปดูที่หน้าเคาเตอร์ มีสเน็คบาร์ขาย แต่ราคา 3 เท่าตัว เธอจึงได้เงียบ
ฝนตกพรำๆ อากาศครึ้มสลัว ภายใต้การโยกคลึงเบาๆของเกลียวคลื่น บรรยากาศของการร่ำสุรายิ่งยอดเยี่ยม ประกอบกับอิสตรีทั้ง 4 นางช่างจำนรรจา พาให้วงสุรามีสีสันมากขึ้น ครึกครื้นขึ้น ระทึกเร้าใจขึ้น
กระทั่ง 6 โมงเย็นมาถึงอย่างรวดเร็ว(สำหรับผม ฮ้า..) พวกเราชักชวนกันย้ายไปยังร้านอาหารของแพ โดยไม่ลืมหิ้วขวดเหล้ากับโซดาไปด้วย อ้างว่าเพื่อเผาหัวก่อนอาหาร ทั้งๆที่หัวร้อนฉ่าจะละลายอยู่แล้ว ฮ้า ฮ้า ฮ้า..

อาหารเย็นมื้อแรกที่แพ กับข้าวยังมาไม่ครบแต่ไม่รอแล้ว(หิวจัด อิอิ)
เกือบ 3 ชั่วโมงที่โต๊ะอาหาร กลายเป็นโต๊ะหลังสุด ที่เลิกรา เมื่อเจ้าของแพบอกว่าจะขอคืนพื้นที่ เพื่อจัดเครื่องเสียงคาราโอเกะให้กับอีกกรุ๊ป พวกเราจึงจำใจยกทัพกลับไปต่อที่หน้าห้องพัก โดยการให้ทิปเด็กเสิร์ฟ 100 บาท เพื่อให้ช่วยลำเลียงอาหารส่วนที่ยังไม่ได้กิน ไปส่งให้ยังวงกิจกรรมของพวกเรา
ที่หน้าห้องพัก กิจกรรมของพวกเราดำเนินติดต่อไป สนุกสนานกับการพูดคุย โดยมีคนร้องเพลงคาราโอเกะจากร้านอาหารเป็นส่วนประกอบ ฟังได้บ้าง ฟังไม่ได้บ้างจากบ้างคนที่เอาเพลงที่เขาแต่งไว้ดีๆมา ปู้ยี่ ปู้ยำของเขาจนเละเป็นขี้ปู

หลังอาหารเย็น กิจกรรมเล่านิทานโกหกดำเนินต่อไป
หลังจากคาราโอเกะเลิกเมื่อเที่ยงคืน แต่กิจกรรมของพวกเรายังไม่ยอมเลิกรา ยังมีการเล่นกีต้าร์ร้องเพลง เล่นเกมส์ทายปัญหา เล่าเรื่องเรทอาร์ และเล่าเรื่องโกหกกันมากขึ้น เมื่อหมดเรื่องจริงจะเล่า อิอิ..
กระทั่งตี 3 เหล้า 3 ขวดใหญ่หมด เบียร์ 2 แพ็คหมด (หมดจริงๆ หมดเกลี้ยง) จึงได้ตกลงกันอย่างกระท่อน กระแท่นว่า พวกเราน่าจะถึงเวลานอนกันได้แล้ว นั่นแหละจึงได้แยกย้ายกันเข้าห้องพัก โดยผมได้รับการชักชวนจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งใน2คนให้ไปนอนด้วย เซ็งเป็ด...
ผมนอนโดยไม่ได้กินข้าว และสาบาน..ไม่ได้อาบน้ำ แต่ผมไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องอาบน้ำสักเท่าไหร่ เพราะใครๆก็รู้ว่างูเห่า แต่ละตัว ดุขนาดว่าใครเจอเข้าก็วิ่งป่าราบ ไม่เคยเห็นมันอาบน้ำ อิอิ..และเมื่อถึงห้องพัก ผมหลับกลางอากาศเหมือนถูกน๊อค

บรรยากาศยามค่ำคืน
เช้าวันที่2 ผมตื่นเมื่อฟ้าแจ้งจางปางสว่างโร่ ดูนาฬิกาที่ข้อมือ เกือบ 7 โมงเช้า รีบลุกขึ้น งึกๆงักๆ ไปเข้าห้องน้ำ ขี้เยี่ยว ล้างหน้า แปรงฟันเสร็จ แล้วทำหน้าที่ไกด์ที่ดี โดยเก็บเศษซากอุปกรณ์การแสดงต่างๆที่ระเกะระกะ อยู่บนโต๊ะบ้าง บนพื้นบ้าง เอาลงถังขยะจนเป็นที่เรียบร้อย หายอุจาดตา ต่อจากนั้น ทำการปลุกลูกทัวร์ ให้ลุกขึ้น เพื่อทำโปรแกรมของวันใหม่ต่อไป
ลูกทัวร์ต่างทยอยลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งตัว เรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะ ไม่รีบร้อน โดยเฉพาะทั้ง 4 สาวงาม แต่งตัว ผัดหน้าทาแป้ง ยังกะจะไปเดินห้าง ผมเห็นแล้วอ่อนใจ จนใจอ่อน
8 โมงเศษ ต่างมาพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร ด้วยหน้าตา ท่าทางอิดโรยตามสภาพความเป็นจริง ผมบรี๊ฟโปรแกรมให้ทุกคนรับรู้คร่าวๆอีกครั้ง ว่าเราจะลงเรือ เวลา 9 โมง เพื่อไปชมถ้ำปะการัง ก่อนลงมือกินข้าวต้มที่ทางแพจัดไว้ให้

อาหารเช้าของวันที่สอง
กินข้าวต้มเสร็จ ผมพูดเบาๆกับ 4 สาว ด้วยความประนีประนอม ถนอมน้ำใจ ในการหวังผลระยะยาว ว่า “เรากำลังจะไปเดินป่ากันนะจ๊ะ ไม่ได้ไปเดินห้าง เพราะฉะนั้น พวกเธอช่วยกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เหมาะสมกว่านี้เถอะ จะดูดีกว่ามาก”
นั่นแหละ พวกเธอจึงได้กลับไปที่ห้องพักอีกครั้ง ด้วยอาการฟัดๆ เฟียดๆ อย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์มากนัก ที่ผมบังอาจบอกให้พวกเธอลดทอนความงามลง
9 โมงเศษ เรือหางยาวลำเดิมที่หางหลุด พาพวกเราออกจากที่พักไปยังริมน้ำ ชายป่าของเขื่อนอีกด้านทางตะวันตกเฉียงเหนือ  เรือแล่นลึกเข้าไปประมาณ 20 นาที อันเป็นจุดเริ่มต้น การเดินป่าขึ้นเขาและลงเขา เป็นระยะทางเกือบ 3 กิโลเมตร ไปยังบริเวณที่เรียกว่า 500 ไร่

หลังอาหารเช้า ออกจากที่พักเพื่อไปเดินป่า
ระยะแรกๆ ทุกคนตื่นเต้นกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว หลายคนเดินล้ำหน้าผมไป เพื่ออวดพละกำลังและศักยภาพความเฟิร์มของร่างกายตัวเอง แต่ไม่ถึงครึ่งของระยะทาง ผมต้องหยุดรอให้พวกเขาเดินตาม
เกือบชั่วโมง ผมลุ้น ล่อ หลอก กระทั่งถึงจุดหมายที่จะต้องลงแพไม้ไผ่อีกทอดเพื่อไปยังถ้ำปะการัง บางคนถอดใจ บอกว่าขอนั่งรอได้หรือไม่? แต่เพื่อนๆบอกว่ามาด้วยกัน ต้องไปด้วยกัน
การไปถ้ำปะการัง รวมเวลาอยู่บนแพ เวลาเข้าไปชมถ้ำและเวลากลับ รวมไม่เกิน 45 นาที แต่เวลาตอนเดินกลับที่เรือจอดรอ ใช้เวลาชั่วโมงกว่า นานกว่าตอนขาไป สถานการณ์เหลือจะบรรยาย

นั่งแพไม้ไผ่ไปถ้ำปะการัง

ปากถ้ำปะการัง
แต่ในที่สุดก็กลับมาถึงที่พักจนได้ เมื่อ 11 โมงเศษ ก่อนขึ้นจากเรือ ผมย้ำว่า ทุกคนมีเวลาอาบน้ำแต่งตัวถึงเที่ยง หลังจากนั้นกินข้าว และจะออกเดินทางกลับตอนบ่ายโมง เพราะหมดกำหนดเวลาการเช่าเรือ
12.00 ตรง ผมกับเพื่อนหัวหน้ากรุ๊ปและหนุ่มๆ อีก 4 คน พร้อมที่โต๊ะอาหาร ผมบอกให้ทางร้าน ยกอาหารมาวาง
12.15 อีก 5 คนยังไม่มาจากห้องพัก...
12.20 ยังไม่มา...
12.30 ก็ยังไม่มา
เพื่อนผม บอกให้ทุกคน ลงมือกินกันก่อนได้เลย ใครมาไม่ทัน ก็ไม่ต้องกินและถ้าใครมาไม่ทันบ่ายโมง ทิ้งไว้ที่นี่..มันพูดด้วยสีหน้า อาการเด็ดขาด แบบหัวหัวหน้าในที่ทำงาน
พวกเรา 6 คน กินกันเสร็จสรรพ อิ่มหนำ
12.45 ทั้ง 5 คน มาถึงโต๊ะกินข้าว และ 4 สาวเช้งวับเหมือนนางแบบ นั่นคือสาเหตุของความเรื่อยเปื่อย ผมเชื่อสนิทใจว่า ผู้หญิง..ฟ้าจะถล่ม โลกจะทะลาย กูต้องสวยไว้ก่อน..ฮ้า ฮ้า ฮ้า...
บ่ายโมง 15 นาที พวกเรา โบกมือ บ๊ายบาย อำลา จากที่นั่น มุ่งหน้ากลับท่าเรือเขื่อนเชี่ยวหลาน แต่เมื่อมาประมาณครึ่งทาง ฝนตกลงมาอย่างหนัก คนขับเรือพาเข้าหลบฝนใต้เวิ้งหน้าถ้ำหน้าภูเขา ประมาณ 20 นาที ไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุด ทุกคนลงความเห็นกันว่าลุยต่อไป..
กว่าจะถึงท่าเรือ ทุกคนเปียกเหมือนอาบน้ำทั้งเสื้อผ้า หน้าสวยๆของสาวๆ นางแบบ กลายเป็นหน้ามอๆของสาวชาวบ้านไปโดยอัตโนมัติ ด้วยอำนาจการชะล้างทำความสะอาดของน้ำฝน อิอิ..
ถ้าหากพวกเธอ ไม่เรื่อเปื่อย เฉื่อยแฉะ รักษาเวลาตามโปรแกรม สถานการณ์ของพวกเธอก็คงไม่เลวร้ายถึงขนาดนี้.

-----------------------------
วีดีโอ
-----------------------------
ประมวลภาพ


















ประมวลภาพ

















....พบกันใหม่เรื่องต่อไปครับ สวัสดี
...ชำนาญ ณ.อันดามัน
-------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน