วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แอ่วเหนือ เมื่อต้นหนาว(ตอน3) เมืองปาย

        เราออกจากร้านอาหารอิสลาม หลังจากหนังท้องพอตึงๆ มุ่งหน้าขึ้นดอย เลียบหน้าผา วกไปวนมา โดยไม่มีทางตรงอีก 762 โค้ง ก็ถึงด่านแรกที่จะเข้าสู่เมืองปาย นั่นคือสะพานประวัติศาสตร์ ซึ่งสร้างโดยกองทัพญี่ปุ่นเมื่อสมัยมหาสงครามเอเชียบูรพา เพื่อใช้ลำเลียงยุทโธปกรณ์ข้ามลำน้ำปายไปยังประเทศพม่า แต่ผมจะไม่เล่าเรื่องราวความเป็นมาของสะพานประวัติศาสตร์นั้น ถ้าหากใครสนใจใคร่รู้ความเป็นมา ก็หาอ่านได้ไม่ยากตามเว็บไซต์



          ตรงคอสะพานประวัติศาสตร์นั้น มีบอร์ดเขียนประวัติความเป็นมาของสะพาน พร้อมภาพถ่ายเมื่อสมัยนั้นประกอบคำอธิบาย ส่วนบนสะพานมีรถสามล้อถีบและรถมอเตอร์ไซต์สามล้อพ่วงข้างแบบของกองทัพนาซี ทำสีฉุดฉาดแตะตา จอดไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ซึ่งนับเป็นไอเดียที่เข้าท่าทีเดียว



          ส่วนริมถนนที่ขาดสียไม่ได้ ก็คือร้านขายเสื้อผ้า ของกิน ของใช้และของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว เหมือนเมืองท่องเที่ยวทั่วๆไป ผมเก็บภาพตามธรรมเนียมปฏิบัติ ก่อนจะขึ้นรถข้ามสะพานคอนกรีตมุ่งหน้าเข้าสู่เขตเมืองปาย

          จุดถัดมาที่จะผ่านเลยไปไม่ได้ ก็คือร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงของเมืองปาย เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่สวยงาม ประกอบกับการออกแบบที่ลงตัว จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องหยุดถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก และบอกเล่ากันปากต่อปาก จนทำให้ร้านกาแฟร้านนั้นมีชื่อเสียงโดงดังไปโดยปริยาย แต่รสชาดจะเป็นอย่างไร คงบอกไม่ได้เพราะผมไม่ได้ลองชิม และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของผมก่อนที่จะซดกาแฟของร้านใดๆ คือต้องไปชิมกาแฟที่ร้านสหายชาวดินแต่มาอยู่บนดอย ซึ่งเธอบอกว่าอยู่ในตัวเมืองปาย
          เราอยู่ที่จุดนั้นไม่กี่นาทีก็ออกมา เพราะอากาศยามบ่ายค่อนข้างร้อน ต้นหนาวบนดอยปีนี้ ยังไม่มีลมหนาว วิวทิวทัศน์ของเมืองปายยังดูแห้งแล้ง ไม่ค่อยสวยงามเท่าที่ควร

          ก่อนจะเข้าตัวเมือง ผมโทรไปหาสหายเจ้าของร้านกาแฟ ถามถึงถนนที่จะไปยังร้านของเธอ ซึ่งฟังแล้วก็ไม่น่าจะไปยาก แต่กลับไปยาก เพราะเมื่อเข้าเขตตัวเมือง ถนนค่อนข้างแคบ การจราจรคับคั่งพอสมควร ถนนบางสายเป็นวันเวย์ และที่ยากเข้าไปอีกเนื่องจากร้านของเธอตั้งอยู่บนถนนคนเดิน ซึ่งขณะเวลานั้น เขาเริ่มปิดการจราจร
หลังจากหลงอยู่หลายรอบ ผมตัดสินใจขับฝ่าป้ายห้ามเข้า
เสี่ยงวัดดวงกับตำรวจจราจรเมืองปาย..
ในที่สุด ผมก็ไปถึงหน้าร้านของเธอจนได้ เฮอะ เฮอะ เฮอะ!..

          เราได้เจอกันหลังจากที่เธอกลับมาจากไปตามหาผม โดยการขี่มอเตอร์ไซต์..
เราทักทายกันเหมือนคนที่เคยรู้จักกันมาสัก 20 ปี ทั้งๆที่นั่น!..เป็นการพบเห็นตัวจริงเป็นๆ กันครั้งแรก!!!!.
          เฮ้อ....เฟสบุ๊ค..ก็ให้อะไรดีๆ มากมายเหมือนกัน นอกเหนือจากการที่ “เศษมนุษย์ใช้หลอกนักเรียนไปข่มขืน”
          All About Coffee” คือชื่อร้านกาแฟของสหายชาวดอย เป็นร้านเล็กๆ ไม่หรูหรา ตกแต่งง่ายๆแบบอ๊าร์ทและแกเลอรี่(ผมไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจถูกต้อง) ตามรสนิยมของเจ้าของร้าน แต่ก็ดูดีและมีคลาสฯ..ว่าเข้าไปนั่น อิอิ..




          พวกเราได้ชิมรสชาดกาแฟของเธอ (ตามความตั้งใจมา 1,000 กว่ากิโลฯ) และนั่งพูดคุย สนทนา เรื่องราวสัพเพเหระต่างๆ อีกทั้งความเป็นมาของร้านกาแฟร้านนี้ เธอบอกว่า เป็นร้านแรกของเมืองปาย ซึ่งเธอมาเปิดกิจการ หลังจากจบการศึกษามหาลัยที่เมืองกรุง เมื่อหลายปีมาแล้ว
          เธอถามถึงที่พักของพวกเราที่นี่! คืนนี้! ผมบอกว่ายังไม่มี เธอจึงโทรจองที่พักให้เราเสร็จสรรพ บอกว่าเป็นของพรรคพวกของเธอ ห่างออกไปจากตัวตลาดนิดหน่อย อยู่หลังวัด!??..
หลังจากนั่งเสวนาเวลาผ่านไปพอสมควร เรานัดแนะกันว่าค่ำๆของคืนนี้ ควรจะมี “มีทติ้ง”กันที่ไหนสักแห่ง เพื่อกระชับสัมพันธ์ไมตรีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เธอตกลงตามนั้น! แล้วพวกเราก็ขอตัวออกมา เพื่อไปสำรวจที่พัก ที่เธอจองไว้ให้เป็นอันดับแรก ต่อจากนั้นจึงได้ขับรถตระเวณชมเมืองปาย พร้อมๆกับมองหาทำเลเหมาะๆ เพื่อจะได้นั่งร่ำเมรัยซึมซับกับบรรยากาศยามสนธยาของเมืองปาย เมืองในฝันของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ
พวกเราตระเวณเข้าซอกเล็กซอยน้อย ข้ามสะพานไปอีกฝั่งของแม่น้ำปาย เพื่อหาทำเลเหมาะๆจนกระทั่งเกือบย่ำค่ำก็ยังหาที่ที่พอใจไม่ได้ ส่วนที่ที่มองเห็นอยู่ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้าม ซึ่งดูบรรยากาศ ทำเลที่ตั้งแล้ว เห็นว่าน่าจะเหมาะสม ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปให้ถึงได้โดยเส้นทางไหน
และในขณะที่ผมเก้ๆกังๆกำลังจะกลับรถอยู่นั้น ก็มีรถมอเตอร์ไซต์ 2 คัน แล่นมาจอดพรืดขวางหน้ารถเราดื้อๆ!!!.
ซ้อนกันมาด้วยผู้ชายหนุ่มๆ 4 คน หน้าตา ผิวพรรณ เหมือนชาวเขาเผ่าแม้ว แล้วคนหนึ่งก็ลงจากท้ายรถ เดินตรงมาที่รถเรา!...
ผมนึกในใจว่า น่าจะมีอะไรไม่เข้าทีซะแล้ว เพราะลักษณะแบบนี้ ตามวิถีนักเลง มันหมายถึงการมีปัญหาแน่ๆ
ผมทำใจดีสู้แม้ว..ลดกระจกลง ชะโงกหน้าออกไป
ถามอย่างสุภาพว่า “จะให้ช่วยอะไรได้บ้างครับ?”
แต่หมอนั่นกลับพูดเป็นภาษาปะกิต..
ถามผมกลับมาว่า “วัดที่มีพระใหญ่ๆ ไปทางไหน?”
อ้ายฉิบหาย!...ครั้งแรก ผมนึกว่าเป็นพี่แม้วขาใหญ่เจ้าถิ่น ตามมาเอาเรื่อง!..
ที่ไหนได้ กลายเป็นพี่ยุ่นนักท่องเที่ยว หลงทาง!..
แต่ก็โล่งอก จากความ ระทึก ฉึก ฉึก...
ผมส่ายหน้าเป็นพัดลม พร้อมกับบอกหมอไปว่า “ไอก็กำลังหลงหาทิศไม่เจอเหมือนเอ็งนั่นแหละอ้ายเกลอเอ๋ย..ไปถามคนอื่นเถอะ!
นั่นแหละ หมอจึงได้ ซอรี่..แทงกิ้ว..ยิ้มหน้าจืดๆ เดินกลับไปซ้อนท้ายมอไซต์..
พวกเราหันมามองหน้ากัน หัวเราะก๊าก!!!.. ก่อนที่ผมจะกลับหัวรถ ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำปาย ไปหาทางเข้าร้านอาหารริมน้ำปายที่มองเห็นอยู่ฝั่งตรงข้าม
ผมใช้ความพยายามเหมือนหมาจะกินปลากระป๋อง กว่าจะเข้าไปถึงร้านอาหารนั้นได้!..

พวกเรานั่งจิบน้ำเมรัย กินลม ชมทิวทัศน์ของแม่น้ำปายยามโพล้เพล้ จนกระทั่ง 2 ทุ่มเศษ สหายชาวดอยของผมจึงได้มาสมทบ
เธอมาคนเดียว!..
ผมถามว่า ทำไมไม่พาครอบครัวมาด้วย?
เธอบอกว่าสามีกับลูกชาย เธอส่งกลับบ้านไปพักผ่อนแล้ว..
         อ๊ะ!..เธอคงเป็นหัวหน้าครอบครัว..ผมนึกในใจ ฮา ฮา ฮา..

3 หนุ่มหงอม กับ 1 สาวห้าว นั่งพูดคุย เสวนา ชนแก้วกันกระทั่งหมดไปกลมใหญ่ พวกเราจึงได้ไปส่งเธอที่บ้าน และสัญญาว่าจะพบกันที่ร้านกาแฟของเธอในเช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากนั้น พวกเราจึงกลับมาเกร่อยู่ในถนนคนเดิน ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เดินชมและซื้อหาสิ้นค้าที่มีอยู่มากมาย หลากหลาย ทั้งเครื่องดื่ม อาหาร เครื่องใช้ เสื้อผ้า ของที่ระลึกต่างๆ




จนเวลาล่วงเลย กระทั่งพ่อค้า แม่ขายเริ่มเก็บร้าน พวกเราจึงได้แวะร้านข้าวต้มใกล้ๆแถวนั้น(ซึ่งไม่เหมือนที่เถิน) เพื่อรองท้องก่อนกลับไปพักยกเอาแรง ที่รีสอร์ทหลังวัด?????..
แต่..ในขณะที่เรากำลังเดินกลับไปที่รถ..
มาอีกแล้วครับท่าน!...
วัยรุ่น หนุ่ม-สาว ประมาณ 4-5 คน เดินเข้ามาหาเรา...
“ลุง..ลุง.. ที่ว่าการอำเภอปายไปทางไหนครับ?”
“พวกลุงก็เพิ่งมาถึงวันนี้เหมือนกันแหละ อ้ายหลานเอ๊ย!
เฮ้อ...นี่พวกเราคงจะดูคล้ายกะเหรี่ยงแน่ๆเลย.

***รอติดตาม "แอ่วเหนือ เมื่อต้นหนาว(ตอน 4)หมู่บ้านไทใหญ่" ***

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน