วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แอ่วเหนือ เมื่อต้นหนาว ปี 54

                ชำนาญ ณ.อันดามัน หนีทะเล หลบน้ำท่วมภาคกลาง  ขึ้นเหนือไปหาลมต้นหนาว  ไต่ยอดดอยพิชิต 1,864 โค้ง สู่เมืองสามหมอก ชมสาวกะเหรี่ยงคอยาว ซบสาวกะเหรี่ยงคอสั้น สัมผัสกะเหรี่ยงแดงและกะเหรี่ยงขาว แอ่วสาวไทใหญ่ ตะลุยทุ่ง(ดอย)บัวตอง อันละลานตระการตา ลดเลี้ยวเคี้ยวคดเลียบหน้าผามุ่งหน้าหาสหายจากสายใยในเฟสบุ๊ค!..
                วันแรก..11 พ.ย. 54 บ่ายแก่ๆ ค่อนไปทางเย็น สามสหาย หมายถึง ชำนาญ ณ.อันดามัน กับเพื่อนคู่หูอีก 2 คน ใช้รถกะบะ 4 ประตูเป็นพาหนะ ออกจากเกาะภูเก็ต จุดหมายปลายทาง ณ.เมืองเหนือ โดย ชำนาญ ณ.อันดามัน รับหน้าที่เป็นสารถี
                กระทั่ง 5 ทุ่มของคืนวันนั้น แวะพักค้างแรมที่ชายหาดแม่รำพึง อำเภอปราณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อถนอมเรี่ยวแรง(ของหนุ่มเหลือน้อย)เอาไว้ใช้อีกหลายวัน

ที่พักคืนแรกของทริป

                เช้าวันที่สอง..ท้องฟ้าเหนืออ่าวแม่รำพึง สลัวมัวหม่น เม็ดฝนโปรยปรายลงมาบางๆ พวกเราเช็คเอ๊าท์ออกจากที่พัก โดยผมเป็นสารถีเหมือนเดิม แวะที่ตลาดปราณบุรี รองท้องด้วย โจ๊ก กาแฟ ปาท่องโก๋ ที่ร้านกาแฟริมถนน ก่อนมุ่งหน้าขึ้นสู่ถนนเพชรเกษม ขยับโขยก โยกเยกโคลงเคลง  มาตามสภาพผิวถนนสายใต้ กระทั่งเข้าเขตนครปฐม เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนมาลัยแมน ผ่านอำเภออู่ทอง อำเภอด่านช้าง สุพรรณบุรี
                ประมาณ บ่าย 2 โมง กระทั่งกระเพาะร้อง ลำไส้แสบ กันทั้ง 3 คน จึงได้แวะกินข้าวเช้าที่ร้านชาวบ้าน แบบลูกทุ่ง ริมถนนสาย ด่านช้าง-ลาดยาว

ที่กินข้าวมื้อแรกของวันที่สอง

                ไม่เกินครึ่งชั่วโมง เราจึงออกจากที่นั่น โดยสหายอีกคนรับหน้าที่โชเฟอร์ เนื่องจากผมมีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือหลังจากกินข้าวอิ่ม ผมจะขับรถไม่ได้ เพราะจะหลับในท่าเดียว แต่ถ้าหากได้พักสัก 10 หรือ 15 นาที ก็จะขับได้อีกเป็น 10 ชั่วโมง เรื่องนี้ เป็นที่รู้กันทุกคน
เราใช้เส้นทางลัด หนีน้ำท่วม ลัดเลาะหลงบ้าง ถูกบ้างไปตามหมู่บ้านและอำเภอต่างๆ จนหลุดขึ้นถนนสายเอเชีย(จนได้) ผ่านกำแพงเพชร กระทั่งมาหยุดพักคน พักรถ เติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดตาก เมื่อตอนย่ำค่ำ
ผมรับหน้าที่สารถีอีกครั้ง เมื่อเสร็จภารกิจที่ปั๊มน้ำมันแห่งนั้น จุดหมายต่อไปคืออำเภอเถิน ลำปาง ซึ่งผมมีหลานชายและอดีตน้องสะใภ้ เปิดร้านคาราโอเกะอยู่ที่นั่น
สามทุ่มเศษ ผมก็ได้พบกับหลานชายและอดีตน้องสะใภ้สมความตั้งใจ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันร่วมสิบปี

ร้านอาหารของน้องสะใภ้และหลานชาย

ทักทาย ถามสารทุกข์ สุกดิบ นั่งพูดคุยกัน โดยน้องสะใภ้จัดเครื่องประกอบการสนทนามาบริการไม่ขาดตกบกพร่อง กระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควรแก่การคิดถึง เราจึงกล่าวคำอำลากันด้วยความอาวรณ์และหวังว่าจะได้พบกันอีก
เราออกจากที่นั่นมาเกือบเที่ยงคืน และมีความเห็นตรงกันว่าน่าจะหาร้านข้าวต้มแถวนั้น รองท้องกันก่อนเดินทางต่อไป น่าจะดี.. ทุกคนเห็นดี!...
ผมขับรถ ยูเทิร์น วนเวียนอยู่แถวทางแยกเข้าตลาดอำเถอเถิน 2-3 รอบ ไม่เห็นร้านข้าวต้มอย่างที่ต้องการ มีแค่ร้านที่มีป้ายเขียนไว้หน้าร้านว่า “อาหารและเครื่องดื่ม” เพียงร้านเดียว มีสาวๆ นุ่งสั้นๆ ดินเกร่อยู่ภายในร้านหลายคน ผมตัดสินใจเลี้ยวรถพรืดเข้าไปจอด
พวกเราลงจากรถ เดินเข้าไป มีสาวนุ่งสั้น ผิวขาว ปากแดง เดินออกมาทักทายต้อนรับ เชิญเข้าไปนั่ง อีกคนเดินถือเมนูอาหารมา 3 เล่ม ครบคน.
เพื่อนผมถามเธอคนนั้นก่อน “ร้านปิดตีเท่าไหร่?”
“ตีสิกสองค่า” เธอตอบสำเนียงแบบที่ผมเขียนจริงๆ..
“เราจะกินข้าวต้ม ได้ไหม?” เพื่อนผม ถามต่อ
“ยังกิงล่ายค่าๆๆๆ... คัวม่ายปิก”
“ยังงั้น!. เอาผักบุ้งไฟแดงหนึ่ง,ไข่เยี่ยวม้าผัดกะเพราหนึ่ง,คะน้าปลาเค็มหนึ่ง,ข้าวต้มสอง,ข้าวเปล่าหนึ่ง” เพื่อนผมสั่งรวดเดียวจบ เพื่อประหยัดเวลา
เธอรับคำ ค่า..ๆ..ๆ.. แล้วเดินจากไป
ประมาณ 15 นาที ผ่านไป!...
มีเด็กผู้ชาย ยกข้าวต้มทรงเครื่อง 2 ชามเขื่องๆ ควันฉุย..พร้อมกับข้าวเปล่า 1 จาน มาวางให้บนโต๊ะ แล้วเดินจากไป..
เรา 3 คน มองอาหารบนโต๊ะ..แล้วมองหน้ากัน..แบบว่า.. งง..ๆ ๆ ๆ..
ส่วนผมปล่อยก๊ากกกกกกกกกก..แบบเต็มกลั้น...
“อะไรของมันว่ะ!?” เพื่อนผมอีกคนว่าแบบกังขา.
“ก็สั่ง ข้าวต้มสอง ข้าวเปล่าหนึ่ง ไม่ใช่เร่อะ?” ผมว่า
“ก็ใช่” หมอยืนยัน
“แล้วนั่น! ไม่ใช่ ข้าวต้มสอง ข้าวเปล่าหนึ่งรึ?” ผมย้อนถาม กลั้วหัวเราะกึกๆ
พวก หุบปากเงียบกริบ เหมือนถูกตีด้วยสาก...
เพื่อนคนที่สั่งครั้งแรก เรียกพนักงานอีกคนมา แล้วบอกว่าไม่ได้สั่งข้าวต้มแบบนี้ สั่งข้าวต้มเปล่าๆ
เธอคนนั้นพูดอธิบาย พอแปลความหมายได้ว่า ข้าวต้มแบบนั้นไม่มี มีแต่แบบที่เห็นนี้แหละ.
เพื่อนผมจึงบอกว่า ให้เอาคืนไป เราไม่ได้สั่งแบบนี้
เธอคนนั้น เดินหายเข้าไปในครัว โดยไม่พูดอะไรต่อและไม่ได้ยกข้าวต้มทั้ง 2 ชามนั้นไปด้วย
ไม่เกิน 3 นาที ต่อมา มีผู้หญิง รูปร่าง ล่ำล่ำ บึกบึก เหมือนกับนักยกน้ำหนักหญิงไทยที่ชอบพูดว่า “สู้โว้ย” เดินออกมาจากในครัว ย่างสามขุมเข้ามาหาพวกเรา..
 หยุดกึก!. มือท้าวสะเอว แล้วพูด “จากิง ม่ายกิง?”
ผมเสียววาบถึงก้นกบ..
ส่วนเพื่อนผม...”ผมสั่งข้าวต้มกุ๊ยครับ” เบาและสุภาพ อิอิ..
“ม่ายมี” แค่นั้น แล้วยกชามข้าวต้มทั้ง 2 ชาม เดินเหมือนรถแทร็กเตอร์หายไปในครัว
พวกเรา ลุกขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัด รีบเดินกลับไปขึ้นรถ
ผมสตาร์ทเครื่อง รีบออกรถ ล้อหมุนฟรีประมาณ 77 รอบ...นับแบบคร่าวๆ..
ขับวนมาที่จุดจอดรถทัวร์ ซึ่งกำลังจะปิด เพราะรถทัวร์คันสุดท้าย เพิ่งจะออกไป
บอกกับเจ้าของร้านว่า อย่าเพิ่งปิดเลย ขอพวกเรากินข้าวสักมื้อเถอะ...เพราะไม่มีที่กินแล้ว.
เจ้าของร้านก็ดีใจหาย บอกว่า ตามสบาย จะกินอะไรก็สั่งได้เลย ไม่ต้องรีบรีบร้อน
ได้ยินเท่านั้นแหละ...เบียร์จึงมาล้างคอคนละขวด ฉลองความโชคดี ที่รอดจากโดนยำมาได้ อย่าง ระทึก ระทึก.
อิ่มหนำ สำราญ เมื่อหลังจากตีหนึ่ง จึงสรุปได้ว่า คืนนี้ ควรจะหาที่นอนแถวๆนี้ แล้วค่อยไปต่อวันรุ่งขึ้น.
เรามาได้บ้านน๊อคดาวน์ ในปั๊มน้ำมันร้างแห่งหนึ่ง ริมถนนห่างออกมาจากร้านข้าวต้มนั่นมากพอสมควร เป็นที่พักยก เพื่อรอยกต่อไป.

ที่พักยก คืนที่สอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อ่านเรื่องราวกันก่อนแล้วค่อยต้ดสินใจและแบ่งปัน